วันเสาร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2552

พ่อรวยสอนลูก

Rich Dad Poor Dad

คะแนนที่ได้รับ 90 คะแนน
1. เนื้อหา การดำเนินเรื่อง ความสนุกสนาน 53 คะแนน
2. รูปเล่ม ขนาด ความสะดวกในการอ่าน 9 คะแนน
3. ความสวยงามของปก การใช้ฟอนต์ สีฟอนต์ ของเนื้อหา 9 คะแนน
4. ประโยชน์ที่นักอ่านได้รับ 10 คะแนน
5. ราคาขาย เปรียบเทียบกับเนื้อกระดาษ คุณภาพของเนื้อหา 9 คะแนน

เนื้อหา
คุณ Robert T. Kiyosaki ลูกครึ่งชาว อเมริกัน และญี่ปุ่น ที่ได้เติบโตที่อเมริกา เขามีเพื่อนสนิทคนหนึ่งซึ่งเติบโตมาด้วยกันในย่านคนมีฐานะดี ซึ่งทั้งสองคนมักจะถูกดูถูกจากเพื่อนในรุ่นเดียวกันว่าเขาทั้งสองไม่รวย เพราะเพื่อนๆ ในย่านนั้นส่วนใหญ่เป็นลูกเจ้าของธุรกิจขนาดใหญ่ นายธนาคาร จึงเกิดแรงบันดาลใจให้เกิดความอยากรวย อยากมีเงิน จึงได้ลองทำเหรีญกษาปณ์เอง แต่พ่อของเขาก็มาเจอ และอธิบายให้เขาฟังว่าการทำอย่างนั้นเป็นสิ่งผิดกฏหมาย และแนะนำว่าถ้าอยากหาเงินได้มากๆ ให้ลองถามพ่อของเพื่อนเขาดูสิ
พ่อของ Robert เป็นอาจารย์สอนที่มหาวิทยาลัย มีตำแหน่งใหญ่โต เงินเดือนมาก ภาษีก็มาก ซึ่งมักจะบ่นเรื่องเงินเป็นประจำ เพราะเงินที่ได้มีจำกัด ส่วนเพ่อของเพื่อนเขานั้นเป็นเจ้าของกิจการร้านขายของชำหลายแห่ง กิจการเล็กๆ แต่ก็มีรายได้มากพอสมควรซึ่งมากกว่าพ่อของ Robert เสียอีก แต่ภาษีที่เขาเสียนั้นกลับน้อยกว่าพ่อของเขาเอง ซึ่งมักจะมีคำพูดเกี่ยวกับการเงินว่า "ทำอย่างไรจึงจะได้มา" เมื่อเขาไปขอให้พ่อของเพื่อนสอนวิธีการหาเงิน ซึ่งพ่อของเพื่อนก็ไม่ได้ปฏิเสธ และยินดีที่จะสอนให้ แต่เทคนิคการสอนของเขานั้นยอดเยี่ยมมาก ทำให้ Robert เข้าใจแนวทางของการหาเงิน และแนวทางของการใช้ชีวิตของคน 2 ประเภท นั่นก็คือ นายจ้าง และลูกจ้าง ต่อมาเขาจึงเรียกพ่อของเพื่อนว่า พ่อรวย และเรียกพ่อของตนเองว่าพ่อจน

แนวความคิดที่แตกต่างระหว่างพ่อรวยและพ่อจน
พ่อจน
ความรักเงิน เป็นบ่อเกิดแห่งความชั่วร้าย
คนรวยควรเสียภาษีมากๆ เพื่อช่วยคนจน
เรียนมากๆ จะได้ทำงานกับบริษัทที่มั่นคง
พ่อไม่รวย เพราะพ่อมีลูก
ห้ามพูดเรื่องเงินตอนทานข้าว
เรื่องเงินทองต้องปลอดภัยไว้ก่อน
บ้าน เป็นการลงทุนและทรัพย์สินที่ใหญ่ที่สุด
ชำระหนี้เป็นอันดับแรก
ประหยัดทุกบาททุกสตางค์เพื่อสะสมเงิน
สอนวิธีเขียนประวัติส่วนตัวอย่างไร จึงจะได้งานทำ
ชาตินี้ไม่มีวันรวยแน่
เงิน ไม่ใช่สิ่งสำคัญ
เรียนเพื่อทำงานให้ได้เงินเดือนสูงๆ
พ่อไม่ทำงานเพื่อเงิน

พ่อรวย
การขาดเงิน เป็นบ่อเกิดแห่งความชั่วร้าย
ภาษีทำโทษคนขยัน ให้รางวัลคนขี้เกียจ
เรียนมากๆ จะได้ซื้อบริษัทที่มั่นคง
พ่อต้องรวย เพราะพ่อมีลูก
ชอบคุยเรื่องเงินตอนทานข้าว
ต้องรู้จักวิธีจัดการกับความเสี่ยง
บ้าน เป็นหนี้สินที่ใหญ่ที่สุดและไม่ใช่การลงทุน
ชำระหนี้เป็นอันดับสุดท้าย
ใช้ทุกบาททุกสตางค์เพื่อการลงทุน
สอนวิธีเขียนแผนธุรกิจอย่างไร จึงจะสร้างงาน
คนรวย เขาไม่ทำกันอย่างนั้นหรอก
เงิน คืออำนาจ
เรียน เพื่อรู้วิธีใช้เงินทำงานให้เรา
เงิน ทำงานให้พ่อ

สาระที่สำคัญของเนื้อหา
- ความกลัวและความอยาก ทำให้ติดกับดัก
- โรงเรียนสอนให้นักเรียนทำงานเพื่อเงิน แต่ไม่เคยสอนวิธีควบคุมอำนาจเงิน
- คนรวยรู้ว่าเงินนั้น คือภาพลวงตา แต่ความกลัวทำให้เราคิดว่าเงินเป็นของจริง
- การมีเงินมากๆนั้น ไม่สำคัญเท่ากับการรู้จักวิธีการเก็บมันไว้ให้อยู่กับเราตลอดไป
- คนฉลาดต้องรู้จักจ้างคนฉลาดกว่ามาเป็นลูกจ้าง
- คนรวยเพิ่มทรัพย์สิน คนจนและชนชั้นกลางเพิ่มหนี้สิน โดยคิดว่ามันคือทรัพย์สิน
- ทรัพย์สิน คือเอาเงินใส่กระเปำ หนี้สิน คือเงินออกจากกระเป๋า
- กฎข้อที่ 1 คุณต้องรู้ว่า “ทรัพย์สิน” และ “หนี้สิน” ต่างกันอย่างไร
- รากฐานของคนชั้นกลางหรือคนจน ก็คือ กลัว ไม่กล้าเสี่ยง ทำให้ยึดติดอยู่กับเงินเดือน และงานที่ทำอย่างเหนียวแน่นเพราะที่นั้นเขารู้สึกว่า “ปลอดภัย”
- ขอแตกต่างของคนรวยกับคนจนคือ คนรวยซื้อความสบายที่หลัง แต่ชนชั้นกลางกับคนจน มักซื้อความสบายก่อนสิ่งอื่นใด เช่น รถ, บ้านหลังใหญ่
- ถ้าคุณทำงานเพื่อเงิน อำนาจอยู่ในมือนายจ้าง ถ้าคุณใช้เงินทำงาน อำนาจอยู่ในมือคุณ
- หลักสำคัญของไหวพริบทางการเงิน
1. ความรู้ทางบัญชี
2. ความรู้เกี่ยวกับการลงทุน
3. ความเข้าใจตลาด
4.ความรู้เรื่องกฎหมาย

ความแตกต่างระหว่างนายจ้างและลูกจ้าง
- คนรวยที่มีบริษัท 1. รายได้ 2. รายจ่าย 3. เสียภาษี
- ลูกจ้างบริษัท 1. รายได้ 2. เสียภาษี 3. รายจ่าย

- ปัจจุบันทุกคนดำเนินชีวิตโดยใช้สูตรเดียวกัน
“ ทำงานหนัก เก็บออม กู้ยืม และจ่ายภาษีจำนวนมาก ”
เราต้องหาสูตรที่ดีกว่านี้ อย่าลืมว่าเงินก็คือความคิด ถ้าต้องการเงินมากขึ้นก็ต้องเปลี่ยนวิธีคิด หลายคนที่ประสบความสำเร็จก็เริ่มจากความคิดเล็กๆ ที่กลายเป็นใหญ่ในเวลาต่อมา การลงทุนก็เช่นกัน เริ่มจากเงินจำนวนเล็กน้อยเติบโตเป็นก้อนใหญ่ขึ้น ผมเคยพบคนจำนวนมาก ที่ใช้เงินก้อนโตเพื่อหวังจะโชคดี คิดว่าที่เดียวเอาให้รวยไปเลย เหล่านี้ผมไม่ถือว่าเป็นนักลงทุนที่ดี การศึกษาและความรู้เรื่องเงินเป็นสิ่งสำคัญ เริ่มแต่เนินๆหาซื้อหนังสือมาอ่าน เข้าสัมนา ฝึกฝน เริ่มจากเงินจำนวนน้อยๆ- เงินก็คือความคิดอันหนึ่ง มีหนังสือเล่มหนึ่งที่เขาตั้งชื่อไว้ว่า
“ คิดแล้วรวย “ ไม่ใช่ “ ทำงานหนักแล้วรวย “
พระเจ้าประทานของขวัญสองอย่างให้เรา คือ สมองและเวลา ขึ้นอยู่กับว่าคุณจะใช้สองสิ่งนี้อย่างไร เงินแต่ละบาทแต่ละสตางค์ที่คุณใช้ไป จะกำหนดชีวิตคุณ ใช้อย่างโง่เขลาแปลว่าคุณเลือกที่จะยากจน ใช้ซื้อหนี้สินแปลว่าคุณเลือกเป็นคนชั้นกลางคือไม่รวย แต่ถ้าใช้ซื้อวิชาเพิ่มความรู้ในการขยายช่องทรัพย์สิน คุณเลือกที่จะมีอนาคตอันมั่นคง ทุกวันที่คุณจ่ายคือการตัดสินใจว่าจะจนหรือจะมี เตรียมความพร้อมให้ลูกหลานด้วยการให้ ความรู้เรื่องการเงินแก่พวกเขา ชีวิตของคุณและลูกๆขึ้นอยู่กับสิ่งที่คุณเลือกในวันนี้ไม่ใช่พรุ่งนี้

- ข้อควรทำ
1. หยุดทุกอย่าง วางมือจากสิ่งที่คุณทำสักพัก แล้วใคร่ครวญดูสิว่า อะไรที่ทำแล้วได้ผล และอะไรที่ทำแต่ไม่เคยได้ผล
2. มองหาความคิดใหม่ เช่นอาจเป็นตามหนังสือ
3. หาคนมีประสบการณ์หรือเคยลงทุนแบบที่คุณกำลังสนใจ เลี้ยงข้าวเขาสักมื้อ คุณจะได้ความรู้อีกมากมาย
4. สมัครเข้าสัมนาอบรมหรือเรียนพิเศษ
5. เสนาราคา คนขายส่วนมากตั้งราคาสูงกว่ามูลค่าจริงอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นข้อควรจำก็คือ เสนราคา ถ้าไม่ใช่นักลงทุน คุณไม่รู้หรอกว่าคนที่พยายามจะขายอะไรสักอย่างนั้นรู้สึกอย่างไร ให้มีคนสนใจเถอะ เรื่องราคาค่อยว่ากัน ต่อรองกันได้ เพราะนี้คือเกมอย่างหนึ่ง เพราะฉะนั้นเสนอราคาเข้าไปเลยคุณอาจโชคดี
6. ผมมองหาคนต้องการซื้อก่อน
7. เรียนจากประวัติศาสตร์ บริษัทใหญ่ๆในตลาดล้วนเริ่มจากบริษัทเล็กๆ
8. ลงมือทำ

รูปเล่ม
ผลงานที่ได้รับ
คำวิจารณ์ของเจ้าของ Blog

เป็นหนังสือที่ผมเห็นแล้ว สะดุดที่ชื่อมาก เพราะคนอะไรมีพ่อ 2 คน จึงหยิบขึ้นมาพลิกอ่านดู แล้วก็เกิดติดใจอ่านอยู่ที่ร้าน se-ed เกือบ 20 นาที และแล้วก็ต้องซื้อติดมือกลับบ้านเพื่อไปอ่านต่อให้จบ เนื้อหาดีมาก เปรียบเทียบถึงแนวความคิดของคนที่เป็นนายจ้างและลูกจ้าง ได้อย่างดี อันนี้เพราะผมเองในฐานะที่เป็นลูกจ้าง เหมือนกับโดนเนื้อหากระแทก กระทั้น เป็นจังหวะๆ อยากจะรีบอ่านให้จบแล้ว ไปทำกิจการของตัวเองเสียเลย (555) กลับมาที่ความเป็นจริงดีกว่า ยังไงตอนนี้ก็ยังทำอย่างนั้นไม่ได้ เอาเป็นว่าศึกษาหาประโยชน์จากหนังสือเพิ่มเติมรอยหยักในสมองอีกสักหน่อยดีกว่า
หนังสือนี้เหมาะสำหรับคนที่กำลังหาลู่ทางให้ชีวิต เหมาะสำหรับเด็กนักเรียน นักศึกษา ดังนั้นถ้าคุณยังไม่เคยอ่าน ผมแนะนำให้ไปลองหาซื้อมาอ่านจะเกิดประโยชน์กับคุณมาก ถ้าคุณคิดจะรวย มีเงินใช้ในชีวิตประจำวัน จนถึงยามชรา เพราะเขาได้ให้แนวทางในการออกจากสนามแข่งหนูไว้แล้ว


ข้อความค้นหาสำคัญ Keyword
พ่อรวยสอนลูก Rich Dad Poor Dad Robert T. Kiyosaki สนามแข่งหนู the rat race พ่อรวย พ่อจน พ่อรวย สอนลูก อยากรวย ไม่อยากจน เจ้าของ ลูกจ้าง ความแตกต่าง รายได้ รายจ่าย ภาษี รายได้ ภาษี รายจ่าย ใช้เงินทำงานแทน ให้เงินทำงานให้ บริหารเงิน รู้จักออมเงิน รู้จักลงทุน ลงทุนให้ถูกจังหวะ บริหารความเสี่ยงการลงทุน

วันศุกร์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2552

เขาเก็บเงินกันอย่างไรได้เป็นล้าน

คะแนนที่ได้รับ 89 คะแนน
1. เนื้อหา การดำเนินเรื่อง ความสนุกสนาน 52 คะแนน
2. รูปเล่ม ขนาด ความสะดวกในการอ่าน 9 คะแนน
3. ความสวยงามของปก การใช้ฟอนต์ สีฟอนต์ ของเนื้อหา 9 คะแนน
4. ประโยชน์ที่นักอ่านได้รับ 10 คะแนน
5. ราคาขาย เปรียบเทียบกับเนื้อกระดาษ คุณภาพของเนื้อหา 9 คะแนน





เนื้อหา
ชี้ให้ผู้อ่านได้เห็นข้อเท็จจริงที่ว่า ทุกคนสามารถมีเงินล้านได้ โดยมีการนำสถิติเงินฝากในประเทศมาแสดงให้เห็นว่าในประเทศไทยมีคนที่มีเงินฝากมากกว่า 1 ล้าน แต่ไม่เกิน 10 ล้านบาท มากถึง 8 แสนกว่าบัญชี ถ้าเทียบง่ายๆ คือเมื่อเดินผ่านคน 65 คนจะต้องมี 1 คนที่มีเงินในบัญชีมากกว่า 1 ล้านบาท
อธิบายรูปแบบวิธีการเก็บเงิน ให้ทุกคนสามารถคิดตามและปฏิบัติได้จริง โดยมีหลักการว่าคุณจะมีเงินฝากได้ต้องมีส่วนสำคัญ ได้แก่ จำนวนเงินที่ฝาก จำนวนปีที่ฝาก และอัตราดอกเบี้ยที่ได้รับจากการฝากเงิน และเขียนวิธีคำนวณเงินง่ายๆ ให้คุณสามารถคำนวณตามได้ว่าถ้าคุณต้องการมีเงินล้าน คุณจะฝากเงินเท่าไรและจะได้เงินล้านในอีกกี่ปี และได้มีการแนะนำเว็บไซท์ต่างๆ ที่ช่วยคำนวณ รวมถึงการฝากเงินประเภทต่างๆ ซึ่งให้อัตราดอกเบี้ยที่แตกต่าง ผู้อ่านสามารถเลือกวิธีที่ตนเองชอบและถนัดได้ เพราะผลตอบแทนที่สูง ย่อมมีความเสี่ยงสูง

รูปเล่ม
จำนวนหน้า: 136 หน้า
ขนาดรูปเล่ม: 145 x 196 x 8 มม.
น้ำหนัก: 175 กรัม
เนื้อในพิมพ์: ขาวดำ
ชนิดกระดาษ: กระดาษปอนด์
ISBN: 9789741348411
ราคาขาย: 140 บาท
ผู้เขียน: อมิตา อริยอัชฌา

ผลงานที่ได้รับ
Best Seller ในร้านหนังสือชื่อดังหลายแห่ง (ธ.ค. 2551 - ม.ค. 2552)

คำวิจารณ์ของเจ้าของ Blog
โดยส่วนตัวผมชอบหนังสือแนวนี้นะครับ เพราะเป็นการให้แนวความคิดที่ดี ซึ่งทำให้เรามีกำลังใจ และแนวทางในการออมเงินที่ดี แต่เนื้อหาโดยทั่วไปสามารถหาอ่านได้ตามเว็บบอร์ด หรือแหล่งข้อมูลอื่นๆได้ ซึ่งถ้าเป็นนักอ่านเว็บย่อมจะต้องเคยอ่านแนวความคิดประเภทนี้มาบ้าง (ถ้าสนใจด้านการเงินเป็นทุนอยู่เดิม) แต่สำหรับบุคคลทั่วไปที่ไม่มีเวลาเข้าเว็บ หรืออาจจะหาข้อมูลบนเว็บไม่คล่องการทำเป็นหนังสืออย่างนี้ผมว่าสะดวกดีและมีประโยชน์กับคนทั่วไปเป็นจำนวนมาก ข้อที่ผมจะติหนังสือเล่มนี้ที่สำคัญคงเป็นอัตราผลตอบแทนที่ผู้เขียนใช้อ้างอิงในหนังสือ เพราะว่าอัตราที่เขียนไว้จะเป็นอัตราที่ค่อนข้างสูงเกินความเป็นจริงในประเทศไทย ณ ปัจจุบัน เช่นมีการยกตัวอย่าง อัตราผลตอบแทน 10%, 16% ซึ่งในปัจจุบัน(ม.ค. 2552) อัตราดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์อยู่ที่ 0.75% ฝากประจำอยู่ที่ 2% กองทุน ณ ตอนนี้ยิ่งแย่ใหญ่ เศรษฐกิจอเมริกาล้ม ทำให้ติดลบกันเป็นแถว ที่ดูดีหน่อยคงเป็นหุ้นกู้ที่บรรดาบริษัทยักษ์ใหญ่ในประเทศทยอยออกมาขายซึ่งจะอยู่ที่ 4-6% เท่านั้น



ผมขอใส่ตารางสูตรสักนิดเพื่อเป็นกำลังใจให้คนเก็บออม


ถ้าคุณต้องการมีเงินล้าน ขอเพียงคุณฝากเงินแค่เดือนละ 5,000 บาท คุณสามารถมีเงินล้านได้ใน 12 ปี
โดยอัตราผลตอบแทนอยู่ที่ปีละ 5%

ดังตารางข้างล่าง


















ข้อความค้นหาสำคัญ Keyword
เขาเก็บเงินกันอย่างไรได้เป็นล้าน เก็บเงินได้เป็นล้าน เขาเก็บอย่างไรได้เป็นล้าน เก็บเงินอย่างไรได้เป็นล้าน เก็บเงินเป็นล้าน วิธีเก็บเงินได้เป็นล้าน จำนวนปีในการเก็บเงิน เก็บให้ได้ล้าน คนรวย เก็บเงินให้รวย คนรวยมีเงินเป็นล้าน เก็บเงินอย่างไร เก็บยังไงได้เป็นล้าน

วันอังคารที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2552

ความสุขของกะทิ

คะแนนที่ได้รับ 84 คะแนน
1. เนื้อหา การดำเนินเรื่อง ความสนุกสนาน 50 คะแนน
2. รูปเล่ม ขนาด ความสะดวกในการอ่าน 9 คะแนน
3. ความสวยงามของปก การใช้ฟอนต์ สีฟอนต์ ของเนื้อหา 9 คะแนน
4. ประโยชน์ที่นักอ่านได้รับ 8 คะแนน
5. ราคาขาย เปรียบเทียบกับเนื้อกระดาษ คุณภาพของเนื้อหา 8 คะแนน


เรื่องย่อ “ความสุขของกะทิ” โดย ผู้เขียน
เด็กหญิงกะทิอายุ ๙ ปีอาศัยอยู่บ้านทรงไทยริมคลองที่อยุธยากับตาและยายทุกวันเธอตื่นแต่เช้า คดข้าวใส่ขันและไปใส่บาตรกับตาที่ท่าน้ำหน้าบ้าน หลวงลุงนั่งเรือมารับบาตรและมีเด็กวัดที่เป็นหลานชื่อ ทอง พายเรือมาให้ กะทิซ้อนท้ายจักรยานตาไปขึ้นรถสองแถวที่หน้าปากซอยเพื่อไปโรงเรียน เธอมีปิ่นโตใส่อาหารกลางวันที่ยายเตรียมให้ไปโรงเรียนด้วยกะทิมีความสุขดีในบ้านหลังน้อยที่ล้อมรอบด้วยไม้ไทย ในวันว่างตาชวนกะทิพายเรือไปเที่ยวเล่นในทุ่งและไปจนถึงศาลาริมน้ำใต้ต้นก้ามปู ตาเคยเป็นทนายมีชื่อเสียงในกรุงเทพฯ เมื่อเกษียณแล้วจึงย้ายกลับมาบ้านเกิด บูรณะบ้านไทยและใช้ชีวิตบั้นปลายช่วยเหลือผู้คนในท้องถิ่น ยายเคยทำงานเป็นเลขานุการนายใหญ่โรงแรมห้าดาวและเลือกที่จะใช้ชีวิตเรียบง่ายเช่นกัน กะทิมีพี่ทองเป็นเพื่อนเล่น ชีวิตดำเนินไปอย่างเรียบง่ายแม้ว่าไม่สมบูรณ์ครบถ้วนอย่างที่ควรจะเป็นกะทิจำแม่ได้เพียงลาง ๆ ตายายไม่พูดถึงแม่ ในบ้านไม่มีรูปถ่ายแม่ กะทิคิดถึงแม่ทุกวัน อยากพบหน้า อยากให้แม่มารับที่โรงเรียน กะทิอธิษฐานทุกวันให้ฝันเป็นจริง แล้ววันหนึ่งยายก็ถามกะทิว่า “กะทิ อยากไปหาแม่ไหมลูก”เพียงเท่านี้การเดินทางของกะทิก็เริ่มขึ้น ตายายบอกกะทิว่าแม่ป่วยและพักรักษาตัวอยู่ที่บ้านชายทะเล ชฏาหรือน้าฏา เลขาฯ ของแม่ ขับรถมารับ อาการของแม่หนักแล้วและตั้งใจให้กะทิมาใช้เวลาช่วงสุดท้ายด้วยกัน โรคของแม่คือเอแอลเอส กล้ามเนื้อจะอ่อนแรงลงเรื่อย ๆ จนช่วยตัวเองไม่ได้และถึงขั้นหายใจเองไม่ได้ แม่ไม่ยอมใช้เครื่องช่วยหายใจเพราะจะทำให้พูดไม่ได้ แม่เลือกที่จะทอนเวลาชีวิตลงแต่อยู่อย่างมีคุณภาพกะทิได้รู้ว่าแม่ตัดสินใจฝากกะทิไว้กับตายายเมื่อรู้ว่าไม่สามารถดูแลกะทิได้เอง เหตุการณ์ที่ทำให้แม่ตัดสินใจคือเมื่อกะทิอายุ ๒ ขวบ แม่พากะทิไปพายเรือเล่นจนถึงศาลาริมน้ำ แต่เกิดพายุและกลับบ้านไม่ทัน กะทินั่งอยู่ในเรือและเรือหลุดจากเสาที่ผูกไว้โดยที่แม่ช่วยอะไรไม่ได้เลย วันนั้นโชคดีที่ทองเด็กวัดตามมาหาเพื่อนเล่นจึงช่วยกะทิกับแม่ไว้ได้ กะทิอยู่กับตายายนับจากวันนั้นและเมื่อรู้เหตุผลจากปากของแม่ก็เข้าใจแม่จากไปอย่างสงบและฝากให้เพื่อนของแม่ชื่อ กันต์ และลูกพี่ลูกน้องชื่อ ตอง เป็นคนพากะทิกลับไปที่คอนโดกลางกรุงเพื่อพบกับส่วนหนึ่งของชีวิตแม่กะทิจึงเดินทางอีกครั้งและมาถึงคอนโดที่กะทิเคยอยู่กับแม่ก่อนจะพลัดพรากกัน ที่นี่มีห้องหนึ่งที่แม่จัดเก็บเอกสารเรื่องราวชีวิตของตัวเองไว้ ลุงตองเป็นคนพากะทิไปเปิดตู้เอกสารและทำให้กะทิพบว่าพ่อของกะทิชื่อ แอนโทนี ซัมเมอร์ ชาวพม่าที่ไปเติบโตที่อังกฤษแม่พบพ่อเมื่อไปเรียนต่อและทำงานที่นั่น ทั้งสองรักและแต่งงานกัน แต่แม่ได้งานใหญ่ที่ฮ่องกงทำให้ต้องแยกกันอยู่ ไม่นานแม่ก็รู้ว่าคนรักเก่าของพ่อตามมาพบกันและแม่ตัดสินใจให้คนทั้งสองสมหวัง แม่เลือกเดินทางกลับมาอยู่กรุงเทพฯ และพบว่าตัวเองตั้งท้องแม่เตรียมจดหมายไว้ให้กะทิส่งถึงพ่อและสั่งไว้ว่าให้กะทิตัดสินใจเองว่าจะส่งหรือไม่ บทสุดท้ายของหนังสือทำให้รู้ว่ากะทิเลือกและพอใจที่จะใช้ชีวิตเรียบง่ายกับตายายที่บ้านริมคลองสืบไป

รูปเล่ม
จำนวนหน้า: 118 หน้า
ขนาดรูปเล่ม: 129 x 185 x 8 มม.
น้ำหนัก: 100 กรัม
เนื้อในพิมพ์: ขาวดำ
ชนิดกระดาษ: กระดาษถนอมสายตา
ราคาขาย: 235 บาท
ผู้เขียน: งามพรรณ เวชชาชีวะ

ผลงานที่ได้รับ
รางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียน (ซีไรต์) ของประเทศไทย ประจำปี พ.ศ. 2549
บทแปลภาษาอังกฤษชื่อ The Happiness of Kati แปลโดยพรูเดนซ์ บอร์ทวิก (Prudence Borthwick) ได้รับรางวัลที่ 2 จากการประกวดงานแปล ประจำปี พ.ศ. 2548 John Dryden Translation Competition จัดโดยสมาคมวรรณคดีเปรียบเทียบแห่งอังกฤษ (British Comparative Literature Association)

คำวิจารณ์ของเจ้าของ Blog
เป็นงานเขียนที่มีเนื้อหาเรียบง่าย บ่งบอกรายละเอียดในชีวิตประจำวันของเด็กคนหนึ่ง ใช้ภาษาได้ดี อ่านเข้าใจง่าย มีการสอดแทรกวัฒนะธรรม ประเพณีเข้าไป ผมจึงไม่แปลกใจเลยที่ชาวต่างชาติซื้อลิขสิทธิ์ไปแปลเป็นภาษาต่างประเทศหลายภาษา เพราะสื่อได้โดนใจนี่เอง แต่เนื่องด้วยเนื้อหาเป็นลักษณะเขียนเป็นตอนๆ อ่านแล้วจะขาดความต่อเนื่องบ้าง ดังนั้นผู้อ่านที่ชอบอ่านหนังสือนิยาย อาจจะรู้สึกขัดๆ บ้าง

ประวัติผู้เขียน
งามพรรณ เวชชาชีวะ
นักเขียนซีไรต์ 2006 - ประเทศไทย
งามพรรณ เวชชาชีวะ เกิดที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษเมื่อ พ.ศ. 2506 จบการศึกษาระดับปริญญาตรีจากภาควิชาภาษาฝรั่งเศส คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง) พ.ศ. 2528 และประกาศนียบัตรการแปล (ฝรั่งเศส – อังกฤษ – อิตาเลียน) จากโรงเรียนล่ามและแปลของรัฐบาลเบลเยี่ยม ณ กรุงบรัสเซลล์ พ.ศ. 2530 เริ่มทำงานครั้งแรกในตำแหน่งเจ้าหน้าที่แปลของบริษัท มีเดียโฟกัส ก่อนจะเป็นเจ้าของและบรรณาธิการ นิตยสารเพื่อนใหม่ นิตยสารสำหรับเด็กก่อนวัยรุ่น ปัจจุบันเป็นกรรมการผู้จัดการบริษัท ซิล์คโรดพับบลิเชอร์ เอเยนซี จำกัด ดูแลลิขสิทธิ์วรรณกรรมให้กับนักเขียนและต่างประเทศ
งามพรรณมีผลงานแปลจากภาษาอังกฤษ ภาษาฝรั่งเศส และภาษาอิตาเลียนตีพิมพ์กว่า 20 เรื่อง ผลงานตีพิมพ์ล่าสุด คือ ปริศนาในสายลมร้อน จัดพิมพ์โดย แพรวสำนักพิมพ์ และ แสนสุขเสมอในโปรวองซ์ จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์มติชน นอกจากนี้ยังเป็นผู้บรรยายพิเศษด้านการแปลและลิขสิทธิ์ให้กับสถาบันศึกษาและมหาวิทยาลัยต่างๆและกรรมการตัดสินการประกวดนิทาน และเรื่องแต่งสำหรับเยาวชน เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2542 ได้รับอิสริยาภรณ์ศิลปะและอักษรศาสตร์ชั้นอัศวิน (Chevalier de l’Ordre des Arts et des Lettres) จากกระทรวงวัฒนธรรม ประเทศฝรั่งเศส ในฐานะผู้มีผลงานด้านวรรณกรรมและเผยแพร่วัฒนธรรมฝรั่งเศส
ความสุขของกะทิ เป็นผลงานประพันธ์เล่มแรก จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์แพรว ผลงานเรื่องนี้ได้รับการแปลและการตีพิมพ์ในภาษาอังกฤษ เยอรมัน และญี่ปุ่น ฉบับภาษาฝรั่งเศสและภาษาคาตาลันมีกำหนดจัดพิมพ์ภายในปีนี้
ที่มา: http://www.seawrite.com/


ข้อความค้นหาสำคัญ Keyword
ความสุขของกะทิ ความสุข ของ กะทิ งามพรรณ เวชชาชีวะ รางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียน (ซีไรต์) ของประเทศไทย ประจำปี พ.ศ. 2549 รางวัลซีไรต์ เด็กหญิงกะทิ The Happiness of Kati ความสุขของ กะทิ

วันพฤหัสบดีที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2552

ความเป็นมา

ผมได้จัดทำเว็บ Thai Book Review ขึ้นเพื่อเป็นแนวทางให้กับนักอ่านทั่วไป ได้ศึกษา และทราบถึงรายละเอียดเบื้องต้นของเนื้อหา ในหนังสือแต่ละเล่ม ซึ่งข้อมูลที่ผมนำมาแสดงเป็นเพียงความรู้สึกนึกคิด และการวิเคราะห์ส่วนตัว

เกณฑ์ในการประเมินจะแบ่งเป็นหัวข้อต่างๆ ดังนี้
1. เนื้อหา การดำเนินเรื่อง ความสนุกสนาน 60 คะแนน
2. รูปเล่ม ขนาด ความสะดวกในการอ่าน 10 คะแนน
3. ความสวยงามของปก การใช้ฟอนต์ สีฟอนต์ ของเนื้อหา 10 คะแนน
4. ประโยชน์ที่นักอ่านได้รับ 10 คะแนน
5. ราคาขาย เปรียบเทียบกับเนื้อกระดาษ คุณภาพของเนื้อหา 10 คะแนน

ทั้งหมดมีคะแนนเต็ม 100 คะแนน
หวังว่าเกณฑ์คะแนนของผมจะเป็นตัวบ่งบอกถึงคุณภาพของหนังสือได้ดีตัวหนึ่งนะครับ

แล้วติดตามดูนะครับว่าจะมีหนังสืออะไรมานำเสนอบ้าง

ขอขอบคุณ
ผู้จัดทำ

=======================================

I created website Thai Book Review to give the reader the rough picture of what each book are about. The information I am (and will be) presenting here are based on my personal point of view.

The criteria would be divided as follow:
1. Content: continuity and entertainment of contents 60 points
2. Book's size and reading comfortableness 10 points
3. Cover design, font and font's color 10 points
4. What benefit will reader get after reading 10 points
5. Price comparing with paper quality and content 10 point

all together 100 points
Hopefully, my criteria for point given will be one of the standard criteria to judge the book.

come join me and let's see what books I will bring for review.

Thank you.
Web Master

ข้อความค้นหาสำคัญ Keyword
thaibook review thai book reriews book review thailand book review thailand book-review thailandbook-review thaibook-review book overview book show book favourite book reading bookreader thai book reader interest book ความสุขของกะทิ happiness of kati เขาเก็บเงินกันอย่างไรได้เป็นล้าน พ่อรวยสอนลูก Rich Dad Poor Dad