คะแนนที่ได้รับ 72 คะแนน
1. เนื้อหา การดำเนินเรื่อง ความสนุกสนาน 40 คะแนน
2. รูปเล่ม ขนาด ความสะดวกในการอ่าน 9 คะแนน
3. ความสวยงามของปก การใช้ฟอนต์ สีฟอนต์ ของเนื้อหา 8 คะแนน
4. ประโยชน์ที่นักอ่านได้รับ 7 คะแนน
5. ราคาขาย เปรียบเทียบกับเนื้อกระดาษ คุณภาพของเนื้อหา 8 คะแนน
ขอปาด มาทำหนังสือเรื่องนี้ก่อนนะครับ พอดีเพิ่งยืมเพื่อนมาอ่าน เลยยังไม่ได้กลับไปอ่านทวนมังกรคู่สู้สิบทิศอีกครั้ง (อ่านมา 5 ปี แล้วจำเนื้อเรื่องได้ไม่ครบแล้ว)
เนื้อเรื่อง
จี้คงโส่ว ได้รับ เต่าเหล็กดำ 2 ตัว จากจอมลักขโมยติงเหิง ซึ่งเต่าเหล็กดำสองตัวนี้เป็นสิ่งที่ตกทอดกันมานาน แต่ไม่มีผู้ใดค้นพบความลับได้ เมื่อติงเหิงปกป้องจี้คงโส่วจากพวกที่ตามล่าเต่าเหล็กดำ จนเสียชีวิต จี้คงโส่วจึงนำเต่าเหล็กดำมาบอกเพื่อนสนิทนั่นก็คือหานซิ่น ทั้งสองได้ค้นพบความลับโดยบังเอิญ เมื่อทำเต่าเหล็กดำหล่นลงไปในเตาหลอมดาบของช่างตีดาบแห่งแผ่นดิน คือเต่าเหล็กดำที่แท้ซ่อนพลังอยู่ภายใต้หินสองลูกขนาดเท่าไข่ไก่ ทำให้ทั้งสองได้รับพลังวิเศษโดยบังเอิญ มีกำลังภายในสูงขึ้นโดยพลังที่ได้อันหนึ่งเย็น และอันหนึ่งร้อน ต่อมาหานซิ่นได้หักหลังจี้คงโส่ว จึงทำให้ทั้งคู่เป็นศัตรูกัน เนื่องจากหานซิ่นต้องการอำนาจและลึกๆ ในใจหานซิ่นเห็นจี้คงโส่วเป็นกำแพงที่ต้องการก้าวข้ามไปให้ได้ จี้คงโส่วและหานซิ่นได้เผชิญกับยอดฝีมือต่างๆ จนทำให้มีฝีมือเพิ่มขึ้น หานซิ่นได้ฝึกวิชากระบี่ดาวตกจนสำเร็จ ส่วนจี้คงโส่วก็ได้ฝึกสำนึกดาบจนเป็นสุดยอดฝีมือ แต่เมื่อเผชิญกับเซี่ยงหวีซึ่งเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งยังไม่อาจเอาชัยได้
จี้คงโส่วจึงวางแผนที่จะแย่งอำนาจจากหลิวปังซึ่งมีขุมกำลังที่สามารถทัดทานกับเซี่ยงหวีได้บ้าง ส่วนหานซิ่นได้ยืมมือเซี่ยงหวี่ผลักดันให้ตัวเองมีอำนาจและมีกองทหารที่เข้มแข็งถึงสิบหมื่น ทำให้เกิดกองกำลังสามเส้า ระหว่างเซี่ยงหวี หลิวปัง และหานซิ่น
จี้คงโส่วสามารถวางแผนการสวมรอยเป็นหลิวปังสำเร็จ จากนั้นได้ใช้อำนาจที่หลิวปังมีวางแผนจนกระทั่งสามารถบีบบังคับให้เซี่ยงหวี่เชือดคอตายได้ และได้ดำเนินการจนกระทั่งหานซิ่นต้องออกมาสู้ตัวต่อตัวเพื่อพิสูจน์ความเป็นตาย เมื่อทั้งสองคนปะทะกันจนบาดเจ็บกลับปรากฎหลิวปังขึ้นมาอีก ซึ่งเป็นพี่น้องฝาแฝดของหลิวปังที่ถูกฆ่าตายไป เมื่อสถานการณ์ผลิกผัน หานซิ่นกลับเปลี่ยนใจช่วยจี้คงโส่ว จนสามารถชนะหลิวปัง และทำให้หลิวปังสูญเสียพลังฝีมือไป แต่จี้คงโส่วกลับเปลี่ยนใจไม่ฆ่าหลิวปัง และยกตำแหน่งฮ่องเต้ให้หลิวปัง แต่กำชับให้หลิวปังดูแลประชาชนให้มีความสุข ส่วนตนเองก็ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขอย่างคนสามัญ
รูปเล่ม
จำนวนหน้า: 272 หน้า
ขนาดรูปเล่ม: 145 x 205 x 16 มม.
น้ำหนัก: 320 กรัม
เนื้อในพิมพ์: ขาวดำ
ชนิดปก: ปกอ่อน
ชนิดกระดาษ: กระดาษถนอมสายตา
ISBN: 9789741038244
ราคาขาย: 210 บาท
ผู้เขียน: หลงเหยิน
ผู้แปล: น.นพรัตน์
จำนวนเล่มในชุด: 10 เล่ม
คำวิจารณ์ของเจ้าของ Blog
ครั้งแรกที่ตั้งใจจะเขียนประวัติย่อหนังสือเล่มนี้ จะเขียนให้ได้เนื้อหามากที่สุดตามที่ได้เคยสรุปงานเขียนอื่นๆ แต่พอได้เริ่มอ่าน ก็อ่านจนติดลมจะให้หยุดมาเขียนเป็นเนื้อเรื่องตามเล่มไม่ได้สักที จนกระทั่งอ่านจบดันลืมรายละเอียดไปซะเยอะ ชื่อค่ายพรรคต่างๆ ชื่อตัวละครต่างๆ จึงเปลี่ยนใจมาเขียนเป็นลักษณะสรุปดีกว่า ซึ่งไม่ได้เนื้อเรื่องโดยละเอียดแต่ก็ได้บทสรุปที่พอเข้าใจเนื้อเรื่องได้
เรื่องนี้หลังจากที่อ่านแล้วช่วงต้นคิดว่าน่าเบื่อเพราะเหมือนมังกรคู่สู้สิบทิศ แต่พอมีการเขียนที่ฉีกแนวไป ก็ทำให้เปลี่ยนแนวความคิดว่าคนเขียนก็ใช้ได้เหมือนกันนะ แต่เนื้อหาที่อ่านๆ ผมรู้สึกว่ายังเขียนไม่ค่อยดีเท่าไร มีความไม่ต่อเนื่องค่อนข้างมาก ทำให้ความสนุกลดลงไป
วันพุธที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2552
วันอาทิตย์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552
มังกรคู่สู้สิบทิศ
มาแจ้งชื่อหนังสือไว้ก่อน หนังสือเรื่องนี้เป็นเรื่องยาว อีกทั้งเป็นเรื่องโปรดของผม
ซึ่งทำเว็บเกี่ยวกับหนังสือทั้งที จะไม่มีเรื่องนี้ได้ยังไงล่ะครับ
มาเขียนต่อแล้วครับ
โค่วจง และฉีจื่อหลิง สองอันธพาลน้อยแห่งเเมืองหยางโจว ได้บังเอิญพบเคล็ดวิชาอมตะ เป็นเคล็ดวิชาที่สืบทอดกันมานาน แต่ไม่มีผู้ใดตีความได้ ในยุคนั้นมีสี่ตระกูลขุนนางชั้นสูง ซึ่งครองความเป็นใหญ่ และมียอดฝีมือทั้งในทำเนียบ และนอกทำเนียบ ต่างก็อยากได้คำภีร์เล่มนี้ อวี้เหวินฮั่วจี๋ เป็นหนึ่งในตระกูลขุนนางชั้นสูงและรับตำแหน่งหน้าที่สูงมีอำนาจมาก ได้เดินทางมาค้นหาคำภีร์และเมื่อทราบว่าคัมภีร์ได้ตกอยู่ในมือของ โค่วจงและฉีจื่อหลิง จึงได้ออกตามล่า ทั้งสองได้พบกับชอนกุนบี ศิษย์ของหนึ่งในสามสุยอดฝีมือแห่งยุคและเกิดความผูกพันฉันแม่ลูก และได้ช่วยชีวิตคนทั้งสอง จนต้องสละชีวิตของตนเอง เมื่อทั้งสองไร้ที่พึ่งกลับบังเอิญค้นพบความลับของเคล็ดวิชาอมตะโดยบังเอิญ ทำให้ชีพจรและร่างกายได้ปรับตัวขนานใหญ่อย่างคาดไม่ถึง ทำให้เป็นฐานในการฝึกปรือวิทยายุทธอย่างก้าวกระโดด
ซึ่งทำเว็บเกี่ยวกับหนังสือทั้งที จะไม่มีเรื่องนี้ได้ยังไงล่ะครับ
มาเขียนต่อแล้วครับ
โค่วจง และฉีจื่อหลิง สองอันธพาลน้อยแห่งเเมืองหยางโจว ได้บังเอิญพบเคล็ดวิชาอมตะ เป็นเคล็ดวิชาที่สืบทอดกันมานาน แต่ไม่มีผู้ใดตีความได้ ในยุคนั้นมีสี่ตระกูลขุนนางชั้นสูง ซึ่งครองความเป็นใหญ่ และมียอดฝีมือทั้งในทำเนียบ และนอกทำเนียบ ต่างก็อยากได้คำภีร์เล่มนี้ อวี้เหวินฮั่วจี๋ เป็นหนึ่งในตระกูลขุนนางชั้นสูงและรับตำแหน่งหน้าที่สูงมีอำนาจมาก ได้เดินทางมาค้นหาคำภีร์และเมื่อทราบว่าคัมภีร์ได้ตกอยู่ในมือของ โค่วจงและฉีจื่อหลิง จึงได้ออกตามล่า ทั้งสองได้พบกับชอนกุนบี ศิษย์ของหนึ่งในสามสุยอดฝีมือแห่งยุคและเกิดความผูกพันฉันแม่ลูก และได้ช่วยชีวิตคนทั้งสอง จนต้องสละชีวิตของตนเอง เมื่อทั้งสองไร้ที่พึ่งกลับบังเอิญค้นพบความลับของเคล็ดวิชาอมตะโดยบังเอิญ ทำให้ชีพจรและร่างกายได้ปรับตัวขนานใหญ่อย่างคาดไม่ถึง ทำให้เป็นฐานในการฝึกปรือวิทยายุทธอย่างก้าวกระโดด
บิดเล่นๆ เป็นรูบิค
คะแนนที่ได้รับ 74 คะแนน
1. เนื้อหา การดำเนินเรื่อง ความสนุกสนาน 40 คะแนน
2. รูปเล่ม ขนาด ความสะดวกในการอ่าน 9 คะแนน
3. ความสวยงามของปก การใช้ฟอนต์ สีฟอนต์ ของเนื้อหา 9 คะแนน
4. ประโยชน์ที่นักอ่านได้รับ 8 คะแนน
5. ราคาขาย เปรียบเทียบกับเนื้อกระดาษ คุณภาพของเนื้อหา 8 คะแนน
เนื้อเรื่อง
รูบิค ประดิษฐ์ขึ้นมาตั้งแต่ปี 1974 ที่ประเทศฮังการี โดย ศาสตรจารย์สาขาสถาปนิก และประติมากรชื่อ เออร์โน รูบิค (Erno Rubik) โดยมีลักษณะเป็นลูกบาศก์ขนาด3 x 3 มีส่วนประกอบย่อยๆ 26 ชิ้น มีสีทั้งหมด 6 สี สามารถหมุนได้รอบทิศ ส่วนประกอบที่หมุนนี้ทำให้การจัดเรียงสีของส่วนต่างๆ สลับกันได้หลายรูปแบบ
ในปี ค.ศ. 1979 บริษัทไอดีลทอยส์(Ideal Toys) ได้ทำข้อตกลงเพื่อทำการจำหน่ายทั่วโลก และได้มีการเปิดตัวของลูกบาศก์นี้ในระดับนานาชาติที่งานแสดงของเล่นที่กรุงลอนดอน นครนิวยอร์ก เมืองนูร์น แบร์ก และ กรุงปารีส
ในช่วงต้นปี ค.ศ. 1980 บริษัทไอดีลทอยส์ ได้เปลี่ยนชื่อของเล่นนี้เป็น "ลูกบาศก์ของรูบิค" (Rubik's cube) ในช่วงทศวรรษที่ 1980 ลูกบาศก์ได้รับความนิยมอย่างสูงและได้กลายเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของวัฒนธรรมสมัยนิยมของยุคนั้น
ต่อมาในปี ค.ศ. 1984 บริษัทไอดีลทอยส์ได้แพ้คดีการล่วงละเมิดสิทธิบัตร ฟ้องร้องโดยแลร์รี นิโคลส์ Larry Nichols ชาวญี่ปุ่นชื่อ อิซิกิ เทรุโตชิ (Terutoshi Ishigi) ได้ทำการจดสิทธิบัตรของเล่นที่มีลักษณะเกือบจะเหมือนกันกับลูกบาศก์ของรูบิค นายอิชิกิ จึงได้รับการยอมรับโดยทั่วไปว่าเป็นการค้นพบซ้ำกัน
การหมุนรูบิค สามารถสลับเปลี่ยนที่แตกต่างกันทั้งหมด (8! x 381) x (12! X 2121)/2 = 43,252,003,274,489,856,000 รูปแบบ (ประมาณ 43 ล้าน ล้าน ล้าน ) แต่รูปแบบที่มีมากนั้น สามารถแก้ไขได้ภายในการบิด 29 ครั้ง หรือน้อยกว่า
การแข่งขันมีการจัดขึ้นครั้งแรกที่กรุงบูดาเปสต์ ในวันที่ 5 มิถุนายน 1982 ผู้ชนะเลิศการแข่งขันนี้คือ มิน ไท (Minh Thai) นักศึกษาชาวเวียดนามจากนครลอสแองเจอลิส โดยใช้เวลา 22.95 วินาทีใน ค.ศ. 2004 สหพันธ์ลูกบาศก์โลก ได้จัดทำมาตรฐานใหม่ โดยใช้อุปกรณ์จับเวลาที่เรียกว่า นาฬิกาจับเวลาสแตคแมท (Stackmat timer)
เนื้อหาถัดมาเป็นการสอนการหมุนตั้งแต่เริ่มต้น จนได้ครบทั้ง 6 ด้าน เนื้อหาส่วนนี้ผมไม่ขออธิบายแล้วกัน เพราะเป็น Climax ของหนังสือเล่มนี้ ให้ผู้ที่สนใจไปหาซื้อหนังสืออ่านกันเองแล้วกัน เป็นการสนับสนุนผู้จัดทำหนังสือด้วย หรือสามารถเข้าไปศึกษาการเล่นได้จาก http://www.thailandcube.com/
สถิติที่ดีที่สุดของไทย เป็นนักเรียนชั้น ม.6 โรงเรียนหอวัง ชื่อ
ต้าร์ กิตติกร ตั้งสุจริตธรรม
เทคนิคการบิดเร็ว
1. บิดช้าๆ (แต่ชัวร์)
ให้หาเวลาเฉลี่ยของตัวเอง แล้วบวกเวลาเฉลี่ย 50% เช่น เวลาเฉลี่ย 20 วินาที + 10 วินาที = 30 วินาที แล้วควบคุมตัวเองให้บิดให้ได้พอดีเวลา 30 วินาที
2. ก่อนบิด ใช้เวลาให้เป็นประโยชน์ที่สุด
โดยปกติแล้ว ก่อนแข่งขันจะให้เวลาสำรวจ 15 วินาที โดยก่อนบิดต้องรู้ให้ได้ว่าจะสร้าง Cross แบบไหน เริ่ม F2L หรือ Corner แรกแบบไหน
3. หลับตา การหลับตาเป็ฯเทคนิคช่วยฝึกจำ โดยฝึกหลับตาแล้วบิดทีละขั้น เช่น หลับตาบิดให้ได้ Cross เป็นต้น
4. ปรับ Cube ให้เหมาะกับตนเอง
5. ทำความเข้าใจสูตร
อาจจะประยุกต์สูตร 2 สูตรที่ต่อเนื่องกัน ให้เป็น 1 สูตร
6. จับเวลาตัวเองทุกวัน
7. บิดในที่ชุมชน เพื่อลดความประหม่าเวลาแข่งขัน
8. ขยัน ฝึกบิดให้มากที่สุด
9. ไม่ยึดติด อย่าคิดว่าสตรที่เราใช้อยู่ดีที่สุดเสมอไป ปรับเปลี่ยน ค้นหาให้เจอ แล้วเวลาจะดีขึ้น
ท้ายเล่มมีสูตรการหมุนเป็นตัวอักษรต่างๆ อันนี้เหมาะกับคนที่เล่นได้ครบทุกหน้าแล้วอยากจะทำอะไรที่มากกว่านั้นครับ
รูปเล่ม
จำนวนหน้า: 79 หน้า
ขนาดรูปเล่ม: 146 x 210 x 5 มม.
น้ำหนัก: 115 กรัม
เนื้อในพิมพ์: ขาวดำ สลับสี่สีบางหน้า
ชนิดกระดาษ: กระดาษปอนด์
ISBN: 9789743070686
ราคาขาย: 99 บาท
ผู้เขียน: ชมรมรูบิคไทย
คำวิจารณ์ของเจ้าของ Blog
เป็นงานเขียนที่เฉพาะเจาะจงกับกลุ่มมาก คือผู้ที่สนใจการหมุนรูบิคนั่นเอง ในอดีตผมเคยสนใจตั้งแต่ยังเด็ก เพราะเห็นพี่ข้างบ้านมีไว้ที่บ้าน แต่ของพี่เขาเสียแล้ว เวลาหมุนมันจะหลุดออกมา หลังจากนั้นได้มีความนิยมอีกครั้งในสมัยที่ผมเรียนมหาวิทยา ผมได้ขอให้รุ่นน้องคนหนึ่งที่มหาวิทยาลัยสอนผมเล่น หัดอยู่ 1 สัปดาห์กว่าจะเล่นเป็น แต่สูตรที่น้องเขาสอนนั้นจะมีข้อเสียอยู่หลายอย่าง เพราะมันไม่แน่นอนเท่าไร คือต้องหมุนไปเรื่อยๆ ในบางช่วงจนกว่าจะได้ กากบาท หรือรูปปลา ดังนั้นเวลาที่หมุนได้นั้นจึงไม่ค่อยดีหลังจากนั้นก็ไม่ได้เล่นมานานมาก จนกระทั่งปี 52 นี้ผมเริ่มเห็นมีการวางขายมากขึ้น น้องๆ หลานๆ มีกันหลายคน แต่เล่นกันไม่ได้สักคน ผมจึงมาฝึกเล่นใหม่เพราะจำไม่ได้เสียแล้ว แต่คราวนี้หมุนเท่าไรก็ไม่ได้เสียที
พอผมเห็นหนังสือเล่มนี้ที่ร้าน SE-ED ผมจึงหยิบขึ้นมาดูทันที และเริ่มดูสูตรการหมุน แล้วรู้สึกสะดุดใจกับเวลาที่คนอื่นๆ ทำได้ นั้นเป็นเวลาเพียงไม่กี่วินาทีเท่านั้น มีเสียงดังขึ้นในสมองผมทันที โอ้ พระเจ้า ทำได้ไง เมื่อก่อนผมทำได้สถิติเร็วสุดยัง 3 นาทีกว่าๆ (ซึ่งตอนนี้ทำไม่ได้แล้ว จำได้แค่ 2 แถวเต็ม) แล้วพออ่านประวัติของ คุณวาลย์ - ชัชวาลย์ จารุวัฒนกุล และน้องริว ธีธัช จารุวัฒนกุล (บุตรชาย) รวมถึง ต้าร์ กิตติกร ตั้งสุจริตธรรม ซึ่งทำให้ผมทึ่ง จึงตัดสินใจซื้อหนังสือเล่มนี้ทันที เพื่อมาฝึกฝนอีกครั้ง ซึ่งที่ผมเขียนอยู่นี้ก็สามารถหมุนได้อีกครั้ง ด้วยสูตรใหม่ที่ได้จากหนังสือ ทำเวลาได้ประมาณ 3 นาที ซึ่งคงต้องฝึกฝนอีกนานจึงจะหมุนได้เร็วขึ้น
เกริ่นมาซะยาว มาเข้าประเด็นดีกว่า การดำเนินเนื้อหา นั้นอ่านแล้วคล้ายๆ หนังสือเรียนของวิชากีฬาทั่วไป คือ มีประวัติ และวิธีการเล่น ประวัติของบุคคลที่เล่นได้ดีในกีฬานั้นๆ ซึ่งถ้าจะนำไปเปรียบเทียบกับหนังสือแนวอื่นคงวัดกันยาก เพราะเป็นหนังสือเฉพาะทาง เพราะคนที่ต้องการฝึกฝนย่อมเห็นว่ามีคุณค่า แต่สำหรับบุคคลทั่วไปอาจจะมองข้ามไปเลย คะแนนที่ผมให้นั้นผมมองจากมุมมองคนทั่วไป จึงทำให้ได้คะแนนไม่มากเท่าไรนัก แต่สำหรับตัวผมเองผมว่าหนังสือนี้ดีมากเลย(ซื้อไปแล้วนี่ครับ) แม้ภรรยาจะบอกว่าซื้อทำไมซื้อลูกบิดก็มีสูตรแถมแล้ว แต่ผมดูสูตรที่แถมมาผมว่าหมุนยากเพราะสูตรเขายาว และไม่มีคำอธิบายด้วย (สูตรที่ผมเคยเห็นคือที่แถมมากับลูกละ 25 - 35 บาท) ตอนนี้ที่ซื้อมาลูกละ 150 บาท แต่ไม่ได้ดูสูตรแล้ว เพราะใช้สูตรตามหนังสือเล่มนี้แหละครับ
สูตรการหมุนรูบิค
พอดีเจอคลิปสอนการหมุนของ ต้าร์ กิตติกร ตั้งสุจริตธรรม จึงนำมาฝากครับ
ข้อความค้นหาสำคัญ Keyword
รูบิค Rubik ลูกบิด 6 สี ลูกบาศก์ ลูกบาศก์บิดได้ ลูกบาศก์หมุนได้ ลูกบิดหมุนได้ รูบิคไทย ไทยแลนด์รูบิค Thailand Rubik ไทยรูบิค รูบิคไทย สถิติคนไทยรูบิค คิว rubik cube rubik's cube บิดเล่นๆ เป็นรูบิค เทคนิคการบิดเร็ว thaibook review book review thaibook-review thaibook-reviews thai book review
วันอาทิตย์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552
พระไตรปิฎก
ผมได้เขียน Blog พระไตรปิฎก เพื่อให้ผู้อ่านที่สนใจสามารถเข้าไปศึกษา อ่านเพิ่มเติมความรู้กันได้ครับ
เนื้อหาอาจจะยังไม่สมบูรณ์แต่จะทยอย ทำครับ
http://pratripidok.blogspot.com/
เนื้อหาอาจจะยังไม่สมบูรณ์แต่จะทยอย ทำครับ
http://pratripidok.blogspot.com/
วันเสาร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2552
พ่อรวยสอนลูก
Rich Dad Poor Dad
คะแนนที่ได้รับ 90 คะแนน
1. เนื้อหา การดำเนินเรื่อง ความสนุกสนาน 53 คะแนน
2. รูปเล่ม ขนาด ความสะดวกในการอ่าน 9 คะแนน
3. ความสวยงามของปก การใช้ฟอนต์ สีฟอนต์ ของเนื้อหา 9 คะแนน
4. ประโยชน์ที่นักอ่านได้รับ 10 คะแนน
5. ราคาขาย เปรียบเทียบกับเนื้อกระดาษ คุณภาพของเนื้อหา 9 คะแนน
เนื้อหา
คุณ Robert T. Kiyosaki ลูกครึ่งชาว อเมริกัน และญี่ปุ่น ที่ได้เติบโตที่อเมริกา เขามีเพื่อนสนิทคนหนึ่งซึ่งเติบโตมาด้วยกันในย่านคนมีฐานะดี ซึ่งทั้งสองคนมักจะถูกดูถูกจากเพื่อนในรุ่นเดียวกันว่าเขาทั้งสองไม่รวย เพราะเพื่อนๆ ในย่านนั้นส่วนใหญ่เป็นลูกเจ้าของธุรกิจขนาดใหญ่ นายธนาคาร จึงเกิดแรงบันดาลใจให้เกิดความอยากรวย อยากมีเงิน จึงได้ลองทำเหรีญกษาปณ์เอง แต่พ่อของเขาก็มาเจอ และอธิบายให้เขาฟังว่าการทำอย่างนั้นเป็นสิ่งผิดกฏหมาย และแนะนำว่าถ้าอยากหาเงินได้มากๆ ให้ลองถามพ่อของเพื่อนเขาดูสิ
พ่อของ Robert เป็นอาจารย์สอนที่มหาวิทยาลัย มีตำแหน่งใหญ่โต เงินเดือนมาก ภาษีก็มาก ซึ่งมักจะบ่นเรื่องเงินเป็นประจำ เพราะเงินที่ได้มีจำกัด ส่วนเพ่อของเพื่อนเขานั้นเป็นเจ้าของกิจการร้านขายของชำหลายแห่ง กิจการเล็กๆ แต่ก็มีรายได้มากพอสมควรซึ่งมากกว่าพ่อของ Robert เสียอีก แต่ภาษีที่เขาเสียนั้นกลับน้อยกว่าพ่อของเขาเอง ซึ่งมักจะมีคำพูดเกี่ยวกับการเงินว่า "ทำอย่างไรจึงจะได้มา" เมื่อเขาไปขอให้พ่อของเพื่อนสอนวิธีการหาเงิน ซึ่งพ่อของเพื่อนก็ไม่ได้ปฏิเสธ และยินดีที่จะสอนให้ แต่เทคนิคการสอนของเขานั้นยอดเยี่ยมมาก ทำให้ Robert เข้าใจแนวทางของการหาเงิน และแนวทางของการใช้ชีวิตของคน 2 ประเภท นั่นก็คือ นายจ้าง และลูกจ้าง ต่อมาเขาจึงเรียกพ่อของเพื่อนว่า พ่อรวย และเรียกพ่อของตนเองว่าพ่อจน
แนวความคิดที่แตกต่างระหว่างพ่อรวยและพ่อจน
พ่อจน
ความรักเงิน เป็นบ่อเกิดแห่งความชั่วร้าย
คนรวยควรเสียภาษีมากๆ เพื่อช่วยคนจน
เรียนมากๆ จะได้ทำงานกับบริษัทที่มั่นคง
พ่อไม่รวย เพราะพ่อมีลูก
ห้ามพูดเรื่องเงินตอนทานข้าว
เรื่องเงินทองต้องปลอดภัยไว้ก่อน
บ้าน เป็นการลงทุนและทรัพย์สินที่ใหญ่ที่สุด
ชำระหนี้เป็นอันดับแรก
ประหยัดทุกบาททุกสตางค์เพื่อสะสมเงิน
สอนวิธีเขียนประวัติส่วนตัวอย่างไร จึงจะได้งานทำ
ชาตินี้ไม่มีวันรวยแน่
เงิน ไม่ใช่สิ่งสำคัญ
เรียนเพื่อทำงานให้ได้เงินเดือนสูงๆ
พ่อไม่ทำงานเพื่อเงิน
พ่อรวย
การขาดเงิน เป็นบ่อเกิดแห่งความชั่วร้าย
ภาษีทำโทษคนขยัน ให้รางวัลคนขี้เกียจ
เรียนมากๆ จะได้ซื้อบริษัทที่มั่นคง
พ่อต้องรวย เพราะพ่อมีลูก
ชอบคุยเรื่องเงินตอนทานข้าว
ต้องรู้จักวิธีจัดการกับความเสี่ยง
บ้าน เป็นหนี้สินที่ใหญ่ที่สุดและไม่ใช่การลงทุน
ชำระหนี้เป็นอันดับสุดท้าย
ใช้ทุกบาททุกสตางค์เพื่อการลงทุน
สอนวิธีเขียนแผนธุรกิจอย่างไร จึงจะสร้างงาน
คนรวย เขาไม่ทำกันอย่างนั้นหรอก
เงิน คืออำนาจ
เรียน เพื่อรู้วิธีใช้เงินทำงานให้เรา
เงิน ทำงานให้พ่อ
สาระที่สำคัญของเนื้อหา
- ความกลัวและความอยาก ทำให้ติดกับดัก
- โรงเรียนสอนให้นักเรียนทำงานเพื่อเงิน แต่ไม่เคยสอนวิธีควบคุมอำนาจเงิน
- คนรวยรู้ว่าเงินนั้น คือภาพลวงตา แต่ความกลัวทำให้เราคิดว่าเงินเป็นของจริง
- การมีเงินมากๆนั้น ไม่สำคัญเท่ากับการรู้จักวิธีการเก็บมันไว้ให้อยู่กับเราตลอดไป
- คนฉลาดต้องรู้จักจ้างคนฉลาดกว่ามาเป็นลูกจ้าง
- คนรวยเพิ่มทรัพย์สิน คนจนและชนชั้นกลางเพิ่มหนี้สิน โดยคิดว่ามันคือทรัพย์สิน
- ทรัพย์สิน คือเอาเงินใส่กระเปำ หนี้สิน คือเงินออกจากกระเป๋า
- กฎข้อที่ 1 คุณต้องรู้ว่า “ทรัพย์สิน” และ “หนี้สิน” ต่างกันอย่างไร
- รากฐานของคนชั้นกลางหรือคนจน ก็คือ กลัว ไม่กล้าเสี่ยง ทำให้ยึดติดอยู่กับเงินเดือน และงานที่ทำอย่างเหนียวแน่นเพราะที่นั้นเขารู้สึกว่า “ปลอดภัย”
- ขอแตกต่างของคนรวยกับคนจนคือ คนรวยซื้อความสบายที่หลัง แต่ชนชั้นกลางกับคนจน มักซื้อความสบายก่อนสิ่งอื่นใด เช่น รถ, บ้านหลังใหญ่
- ถ้าคุณทำงานเพื่อเงิน อำนาจอยู่ในมือนายจ้าง ถ้าคุณใช้เงินทำงาน อำนาจอยู่ในมือคุณ
- หลักสำคัญของไหวพริบทางการเงิน
1. ความรู้ทางบัญชี
2. ความรู้เกี่ยวกับการลงทุน
3. ความเข้าใจตลาด
4.ความรู้เรื่องกฎหมาย
ความแตกต่างระหว่างนายจ้างและลูกจ้าง
- คนรวยที่มีบริษัท 1. รายได้ 2. รายจ่าย 3. เสียภาษี
- ลูกจ้างบริษัท 1. รายได้ 2. เสียภาษี 3. รายจ่าย
- ปัจจุบันทุกคนดำเนินชีวิตโดยใช้สูตรเดียวกัน
“ ทำงานหนัก เก็บออม กู้ยืม และจ่ายภาษีจำนวนมาก ”
เราต้องหาสูตรที่ดีกว่านี้ อย่าลืมว่าเงินก็คือความคิด ถ้าต้องการเงินมากขึ้นก็ต้องเปลี่ยนวิธีคิด หลายคนที่ประสบความสำเร็จก็เริ่มจากความคิดเล็กๆ ที่กลายเป็นใหญ่ในเวลาต่อมา การลงทุนก็เช่นกัน เริ่มจากเงินจำนวนเล็กน้อยเติบโตเป็นก้อนใหญ่ขึ้น ผมเคยพบคนจำนวนมาก ที่ใช้เงินก้อนโตเพื่อหวังจะโชคดี คิดว่าที่เดียวเอาให้รวยไปเลย เหล่านี้ผมไม่ถือว่าเป็นนักลงทุนที่ดี การศึกษาและความรู้เรื่องเงินเป็นสิ่งสำคัญ เริ่มแต่เนินๆหาซื้อหนังสือมาอ่าน เข้าสัมนา ฝึกฝน เริ่มจากเงินจำนวนน้อยๆ- เงินก็คือความคิดอันหนึ่ง มีหนังสือเล่มหนึ่งที่เขาตั้งชื่อไว้ว่า
“ คิดแล้วรวย “ ไม่ใช่ “ ทำงานหนักแล้วรวย “
พระเจ้าประทานของขวัญสองอย่างให้เรา คือ สมองและเวลา ขึ้นอยู่กับว่าคุณจะใช้สองสิ่งนี้อย่างไร เงินแต่ละบาทแต่ละสตางค์ที่คุณใช้ไป จะกำหนดชีวิตคุณ ใช้อย่างโง่เขลาแปลว่าคุณเลือกที่จะยากจน ใช้ซื้อหนี้สินแปลว่าคุณเลือกเป็นคนชั้นกลางคือไม่รวย แต่ถ้าใช้ซื้อวิชาเพิ่มความรู้ในการขยายช่องทรัพย์สิน คุณเลือกที่จะมีอนาคตอันมั่นคง ทุกวันที่คุณจ่ายคือการตัดสินใจว่าจะจนหรือจะมี เตรียมความพร้อมให้ลูกหลานด้วยการให้ ความรู้เรื่องการเงินแก่พวกเขา ชีวิตของคุณและลูกๆขึ้นอยู่กับสิ่งที่คุณเลือกในวันนี้ไม่ใช่พรุ่งนี้
- ข้อควรทำ
1. หยุดทุกอย่าง วางมือจากสิ่งที่คุณทำสักพัก แล้วใคร่ครวญดูสิว่า อะไรที่ทำแล้วได้ผล และอะไรที่ทำแต่ไม่เคยได้ผล
2. มองหาความคิดใหม่ เช่นอาจเป็นตามหนังสือ
3. หาคนมีประสบการณ์หรือเคยลงทุนแบบที่คุณกำลังสนใจ เลี้ยงข้าวเขาสักมื้อ คุณจะได้ความรู้อีกมากมาย
4. สมัครเข้าสัมนาอบรมหรือเรียนพิเศษ
5. เสนาราคา คนขายส่วนมากตั้งราคาสูงกว่ามูลค่าจริงอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นข้อควรจำก็คือ เสนราคา ถ้าไม่ใช่นักลงทุน คุณไม่รู้หรอกว่าคนที่พยายามจะขายอะไรสักอย่างนั้นรู้สึกอย่างไร ให้มีคนสนใจเถอะ เรื่องราคาค่อยว่ากัน ต่อรองกันได้ เพราะนี้คือเกมอย่างหนึ่ง เพราะฉะนั้นเสนอราคาเข้าไปเลยคุณอาจโชคดี
6. ผมมองหาคนต้องการซื้อก่อน
7. เรียนจากประวัติศาสตร์ บริษัทใหญ่ๆในตลาดล้วนเริ่มจากบริษัทเล็กๆ
8. ลงมือทำ
รูปเล่ม
ผลงานที่ได้รับ
คำวิจารณ์ของเจ้าของ Blog
เป็นหนังสือที่ผมเห็นแล้ว สะดุดที่ชื่อมาก เพราะคนอะไรมีพ่อ 2 คน จึงหยิบขึ้นมาพลิกอ่านดู แล้วก็เกิดติดใจอ่านอยู่ที่ร้าน se-ed เกือบ 20 นาที และแล้วก็ต้องซื้อติดมือกลับบ้านเพื่อไปอ่านต่อให้จบ เนื้อหาดีมาก เปรียบเทียบถึงแนวความคิดของคนที่เป็นนายจ้างและลูกจ้าง ได้อย่างดี อันนี้เพราะผมเองในฐานะที่เป็นลูกจ้าง เหมือนกับโดนเนื้อหากระแทก กระทั้น เป็นจังหวะๆ อยากจะรีบอ่านให้จบแล้ว ไปทำกิจการของตัวเองเสียเลย (555) กลับมาที่ความเป็นจริงดีกว่า ยังไงตอนนี้ก็ยังทำอย่างนั้นไม่ได้ เอาเป็นว่าศึกษาหาประโยชน์จากหนังสือเพิ่มเติมรอยหยักในสมองอีกสักหน่อยดีกว่า
หนังสือนี้เหมาะสำหรับคนที่กำลังหาลู่ทางให้ชีวิต เหมาะสำหรับเด็กนักเรียน นักศึกษา ดังนั้นถ้าคุณยังไม่เคยอ่าน ผมแนะนำให้ไปลองหาซื้อมาอ่านจะเกิดประโยชน์กับคุณมาก ถ้าคุณคิดจะรวย มีเงินใช้ในชีวิตประจำวัน จนถึงยามชรา เพราะเขาได้ให้แนวทางในการออกจากสนามแข่งหนูไว้แล้ว
ข้อความค้นหาสำคัญ Keyword
พ่อรวยสอนลูก Rich Dad Poor Dad Robert T. Kiyosaki สนามแข่งหนู the rat race พ่อรวย พ่อจน พ่อรวย สอนลูก อยากรวย ไม่อยากจน เจ้าของ ลูกจ้าง ความแตกต่าง รายได้ รายจ่าย ภาษี รายได้ ภาษี รายจ่าย ใช้เงินทำงานแทน ให้เงินทำงานให้ บริหารเงิน รู้จักออมเงิน รู้จักลงทุน ลงทุนให้ถูกจังหวะ บริหารความเสี่ยงการลงทุน
คะแนนที่ได้รับ 90 คะแนน
1. เนื้อหา การดำเนินเรื่อง ความสนุกสนาน 53 คะแนน
2. รูปเล่ม ขนาด ความสะดวกในการอ่าน 9 คะแนน
3. ความสวยงามของปก การใช้ฟอนต์ สีฟอนต์ ของเนื้อหา 9 คะแนน
4. ประโยชน์ที่นักอ่านได้รับ 10 คะแนน
5. ราคาขาย เปรียบเทียบกับเนื้อกระดาษ คุณภาพของเนื้อหา 9 คะแนน
เนื้อหา
คุณ Robert T. Kiyosaki ลูกครึ่งชาว อเมริกัน และญี่ปุ่น ที่ได้เติบโตที่อเมริกา เขามีเพื่อนสนิทคนหนึ่งซึ่งเติบโตมาด้วยกันในย่านคนมีฐานะดี ซึ่งทั้งสองคนมักจะถูกดูถูกจากเพื่อนในรุ่นเดียวกันว่าเขาทั้งสองไม่รวย เพราะเพื่อนๆ ในย่านนั้นส่วนใหญ่เป็นลูกเจ้าของธุรกิจขนาดใหญ่ นายธนาคาร จึงเกิดแรงบันดาลใจให้เกิดความอยากรวย อยากมีเงิน จึงได้ลองทำเหรีญกษาปณ์เอง แต่พ่อของเขาก็มาเจอ และอธิบายให้เขาฟังว่าการทำอย่างนั้นเป็นสิ่งผิดกฏหมาย และแนะนำว่าถ้าอยากหาเงินได้มากๆ ให้ลองถามพ่อของเพื่อนเขาดูสิ
พ่อของ Robert เป็นอาจารย์สอนที่มหาวิทยาลัย มีตำแหน่งใหญ่โต เงินเดือนมาก ภาษีก็มาก ซึ่งมักจะบ่นเรื่องเงินเป็นประจำ เพราะเงินที่ได้มีจำกัด ส่วนเพ่อของเพื่อนเขานั้นเป็นเจ้าของกิจการร้านขายของชำหลายแห่ง กิจการเล็กๆ แต่ก็มีรายได้มากพอสมควรซึ่งมากกว่าพ่อของ Robert เสียอีก แต่ภาษีที่เขาเสียนั้นกลับน้อยกว่าพ่อของเขาเอง ซึ่งมักจะมีคำพูดเกี่ยวกับการเงินว่า "ทำอย่างไรจึงจะได้มา" เมื่อเขาไปขอให้พ่อของเพื่อนสอนวิธีการหาเงิน ซึ่งพ่อของเพื่อนก็ไม่ได้ปฏิเสธ และยินดีที่จะสอนให้ แต่เทคนิคการสอนของเขานั้นยอดเยี่ยมมาก ทำให้ Robert เข้าใจแนวทางของการหาเงิน และแนวทางของการใช้ชีวิตของคน 2 ประเภท นั่นก็คือ นายจ้าง และลูกจ้าง ต่อมาเขาจึงเรียกพ่อของเพื่อนว่า พ่อรวย และเรียกพ่อของตนเองว่าพ่อจน
แนวความคิดที่แตกต่างระหว่างพ่อรวยและพ่อจน
พ่อจน
ความรักเงิน เป็นบ่อเกิดแห่งความชั่วร้าย
คนรวยควรเสียภาษีมากๆ เพื่อช่วยคนจน
เรียนมากๆ จะได้ทำงานกับบริษัทที่มั่นคง
พ่อไม่รวย เพราะพ่อมีลูก
ห้ามพูดเรื่องเงินตอนทานข้าว
เรื่องเงินทองต้องปลอดภัยไว้ก่อน
บ้าน เป็นการลงทุนและทรัพย์สินที่ใหญ่ที่สุด
ชำระหนี้เป็นอันดับแรก
ประหยัดทุกบาททุกสตางค์เพื่อสะสมเงิน
สอนวิธีเขียนประวัติส่วนตัวอย่างไร จึงจะได้งานทำ
ชาตินี้ไม่มีวันรวยแน่
เงิน ไม่ใช่สิ่งสำคัญ
เรียนเพื่อทำงานให้ได้เงินเดือนสูงๆ
พ่อไม่ทำงานเพื่อเงิน
พ่อรวย
การขาดเงิน เป็นบ่อเกิดแห่งความชั่วร้าย
ภาษีทำโทษคนขยัน ให้รางวัลคนขี้เกียจ
เรียนมากๆ จะได้ซื้อบริษัทที่มั่นคง
พ่อต้องรวย เพราะพ่อมีลูก
ชอบคุยเรื่องเงินตอนทานข้าว
ต้องรู้จักวิธีจัดการกับความเสี่ยง
บ้าน เป็นหนี้สินที่ใหญ่ที่สุดและไม่ใช่การลงทุน
ชำระหนี้เป็นอันดับสุดท้าย
ใช้ทุกบาททุกสตางค์เพื่อการลงทุน
สอนวิธีเขียนแผนธุรกิจอย่างไร จึงจะสร้างงาน
คนรวย เขาไม่ทำกันอย่างนั้นหรอก
เงิน คืออำนาจ
เรียน เพื่อรู้วิธีใช้เงินทำงานให้เรา
เงิน ทำงานให้พ่อ
สาระที่สำคัญของเนื้อหา
- ความกลัวและความอยาก ทำให้ติดกับดัก
- โรงเรียนสอนให้นักเรียนทำงานเพื่อเงิน แต่ไม่เคยสอนวิธีควบคุมอำนาจเงิน
- คนรวยรู้ว่าเงินนั้น คือภาพลวงตา แต่ความกลัวทำให้เราคิดว่าเงินเป็นของจริง
- การมีเงินมากๆนั้น ไม่สำคัญเท่ากับการรู้จักวิธีการเก็บมันไว้ให้อยู่กับเราตลอดไป
- คนฉลาดต้องรู้จักจ้างคนฉลาดกว่ามาเป็นลูกจ้าง
- คนรวยเพิ่มทรัพย์สิน คนจนและชนชั้นกลางเพิ่มหนี้สิน โดยคิดว่ามันคือทรัพย์สิน
- ทรัพย์สิน คือเอาเงินใส่กระเปำ หนี้สิน คือเงินออกจากกระเป๋า
- กฎข้อที่ 1 คุณต้องรู้ว่า “ทรัพย์สิน” และ “หนี้สิน” ต่างกันอย่างไร
- รากฐานของคนชั้นกลางหรือคนจน ก็คือ กลัว ไม่กล้าเสี่ยง ทำให้ยึดติดอยู่กับเงินเดือน และงานที่ทำอย่างเหนียวแน่นเพราะที่นั้นเขารู้สึกว่า “ปลอดภัย”
- ขอแตกต่างของคนรวยกับคนจนคือ คนรวยซื้อความสบายที่หลัง แต่ชนชั้นกลางกับคนจน มักซื้อความสบายก่อนสิ่งอื่นใด เช่น รถ, บ้านหลังใหญ่
- ถ้าคุณทำงานเพื่อเงิน อำนาจอยู่ในมือนายจ้าง ถ้าคุณใช้เงินทำงาน อำนาจอยู่ในมือคุณ
- หลักสำคัญของไหวพริบทางการเงิน
1. ความรู้ทางบัญชี
2. ความรู้เกี่ยวกับการลงทุน
3. ความเข้าใจตลาด
4.ความรู้เรื่องกฎหมาย
ความแตกต่างระหว่างนายจ้างและลูกจ้าง
- คนรวยที่มีบริษัท 1. รายได้ 2. รายจ่าย 3. เสียภาษี
- ลูกจ้างบริษัท 1. รายได้ 2. เสียภาษี 3. รายจ่าย
- ปัจจุบันทุกคนดำเนินชีวิตโดยใช้สูตรเดียวกัน
“ ทำงานหนัก เก็บออม กู้ยืม และจ่ายภาษีจำนวนมาก ”
เราต้องหาสูตรที่ดีกว่านี้ อย่าลืมว่าเงินก็คือความคิด ถ้าต้องการเงินมากขึ้นก็ต้องเปลี่ยนวิธีคิด หลายคนที่ประสบความสำเร็จก็เริ่มจากความคิดเล็กๆ ที่กลายเป็นใหญ่ในเวลาต่อมา การลงทุนก็เช่นกัน เริ่มจากเงินจำนวนเล็กน้อยเติบโตเป็นก้อนใหญ่ขึ้น ผมเคยพบคนจำนวนมาก ที่ใช้เงินก้อนโตเพื่อหวังจะโชคดี คิดว่าที่เดียวเอาให้รวยไปเลย เหล่านี้ผมไม่ถือว่าเป็นนักลงทุนที่ดี การศึกษาและความรู้เรื่องเงินเป็นสิ่งสำคัญ เริ่มแต่เนินๆหาซื้อหนังสือมาอ่าน เข้าสัมนา ฝึกฝน เริ่มจากเงินจำนวนน้อยๆ- เงินก็คือความคิดอันหนึ่ง มีหนังสือเล่มหนึ่งที่เขาตั้งชื่อไว้ว่า
“ คิดแล้วรวย “ ไม่ใช่ “ ทำงานหนักแล้วรวย “
พระเจ้าประทานของขวัญสองอย่างให้เรา คือ สมองและเวลา ขึ้นอยู่กับว่าคุณจะใช้สองสิ่งนี้อย่างไร เงินแต่ละบาทแต่ละสตางค์ที่คุณใช้ไป จะกำหนดชีวิตคุณ ใช้อย่างโง่เขลาแปลว่าคุณเลือกที่จะยากจน ใช้ซื้อหนี้สินแปลว่าคุณเลือกเป็นคนชั้นกลางคือไม่รวย แต่ถ้าใช้ซื้อวิชาเพิ่มความรู้ในการขยายช่องทรัพย์สิน คุณเลือกที่จะมีอนาคตอันมั่นคง ทุกวันที่คุณจ่ายคือการตัดสินใจว่าจะจนหรือจะมี เตรียมความพร้อมให้ลูกหลานด้วยการให้ ความรู้เรื่องการเงินแก่พวกเขา ชีวิตของคุณและลูกๆขึ้นอยู่กับสิ่งที่คุณเลือกในวันนี้ไม่ใช่พรุ่งนี้
- ข้อควรทำ
1. หยุดทุกอย่าง วางมือจากสิ่งที่คุณทำสักพัก แล้วใคร่ครวญดูสิว่า อะไรที่ทำแล้วได้ผล และอะไรที่ทำแต่ไม่เคยได้ผล
2. มองหาความคิดใหม่ เช่นอาจเป็นตามหนังสือ
3. หาคนมีประสบการณ์หรือเคยลงทุนแบบที่คุณกำลังสนใจ เลี้ยงข้าวเขาสักมื้อ คุณจะได้ความรู้อีกมากมาย
4. สมัครเข้าสัมนาอบรมหรือเรียนพิเศษ
5. เสนาราคา คนขายส่วนมากตั้งราคาสูงกว่ามูลค่าจริงอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นข้อควรจำก็คือ เสนราคา ถ้าไม่ใช่นักลงทุน คุณไม่รู้หรอกว่าคนที่พยายามจะขายอะไรสักอย่างนั้นรู้สึกอย่างไร ให้มีคนสนใจเถอะ เรื่องราคาค่อยว่ากัน ต่อรองกันได้ เพราะนี้คือเกมอย่างหนึ่ง เพราะฉะนั้นเสนอราคาเข้าไปเลยคุณอาจโชคดี
6. ผมมองหาคนต้องการซื้อก่อน
7. เรียนจากประวัติศาสตร์ บริษัทใหญ่ๆในตลาดล้วนเริ่มจากบริษัทเล็กๆ
8. ลงมือทำ
รูปเล่ม
ผลงานที่ได้รับ
คำวิจารณ์ของเจ้าของ Blog
เป็นหนังสือที่ผมเห็นแล้ว สะดุดที่ชื่อมาก เพราะคนอะไรมีพ่อ 2 คน จึงหยิบขึ้นมาพลิกอ่านดู แล้วก็เกิดติดใจอ่านอยู่ที่ร้าน se-ed เกือบ 20 นาที และแล้วก็ต้องซื้อติดมือกลับบ้านเพื่อไปอ่านต่อให้จบ เนื้อหาดีมาก เปรียบเทียบถึงแนวความคิดของคนที่เป็นนายจ้างและลูกจ้าง ได้อย่างดี อันนี้เพราะผมเองในฐานะที่เป็นลูกจ้าง เหมือนกับโดนเนื้อหากระแทก กระทั้น เป็นจังหวะๆ อยากจะรีบอ่านให้จบแล้ว ไปทำกิจการของตัวเองเสียเลย (555) กลับมาที่ความเป็นจริงดีกว่า ยังไงตอนนี้ก็ยังทำอย่างนั้นไม่ได้ เอาเป็นว่าศึกษาหาประโยชน์จากหนังสือเพิ่มเติมรอยหยักในสมองอีกสักหน่อยดีกว่า
หนังสือนี้เหมาะสำหรับคนที่กำลังหาลู่ทางให้ชีวิต เหมาะสำหรับเด็กนักเรียน นักศึกษา ดังนั้นถ้าคุณยังไม่เคยอ่าน ผมแนะนำให้ไปลองหาซื้อมาอ่านจะเกิดประโยชน์กับคุณมาก ถ้าคุณคิดจะรวย มีเงินใช้ในชีวิตประจำวัน จนถึงยามชรา เพราะเขาได้ให้แนวทางในการออกจากสนามแข่งหนูไว้แล้ว
ข้อความค้นหาสำคัญ Keyword
พ่อรวยสอนลูก Rich Dad Poor Dad Robert T. Kiyosaki สนามแข่งหนู the rat race พ่อรวย พ่อจน พ่อรวย สอนลูก อยากรวย ไม่อยากจน เจ้าของ ลูกจ้าง ความแตกต่าง รายได้ รายจ่าย ภาษี รายได้ ภาษี รายจ่าย ใช้เงินทำงานแทน ให้เงินทำงานให้ บริหารเงิน รู้จักออมเงิน รู้จักลงทุน ลงทุนให้ถูกจังหวะ บริหารความเสี่ยงการลงทุน
วันศุกร์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2552
เขาเก็บเงินกันอย่างไรได้เป็นล้าน
คะแนนที่ได้รับ 89 คะแนน
1. เนื้อหา การดำเนินเรื่อง ความสนุกสนาน 52 คะแนน
2. รูปเล่ม ขนาด ความสะดวกในการอ่าน 9 คะแนน
3. ความสวยงามของปก การใช้ฟอนต์ สีฟอนต์ ของเนื้อหา 9 คะแนน
4. ประโยชน์ที่นักอ่านได้รับ 10 คะแนน
5. ราคาขาย เปรียบเทียบกับเนื้อกระดาษ คุณภาพของเนื้อหา 9 คะแนน
เนื้อหา
ชี้ให้ผู้อ่านได้เห็นข้อเท็จจริงที่ว่า ทุกคนสามารถมีเงินล้านได้ โดยมีการนำสถิติเงินฝากในประเทศมาแสดงให้เห็นว่าในประเทศไทยมีคนที่มีเงินฝากมากกว่า 1 ล้าน แต่ไม่เกิน 10 ล้านบาท มากถึง 8 แสนกว่าบัญชี ถ้าเทียบง่ายๆ คือเมื่อเดินผ่านคน 65 คนจะต้องมี 1 คนที่มีเงินในบัญชีมากกว่า 1 ล้านบาท
อธิบายรูปแบบวิธีการเก็บเงิน ให้ทุกคนสามารถคิดตามและปฏิบัติได้จริง โดยมีหลักการว่าคุณจะมีเงินฝากได้ต้องมีส่วนสำคัญ ได้แก่ จำนวนเงินที่ฝาก จำนวนปีที่ฝาก และอัตราดอกเบี้ยที่ได้รับจากการฝากเงิน และเขียนวิธีคำนวณเงินง่ายๆ ให้คุณสามารถคำนวณตามได้ว่าถ้าคุณต้องการมีเงินล้าน คุณจะฝากเงินเท่าไรและจะได้เงินล้านในอีกกี่ปี และได้มีการแนะนำเว็บไซท์ต่างๆ ที่ช่วยคำนวณ รวมถึงการฝากเงินประเภทต่างๆ ซึ่งให้อัตราดอกเบี้ยที่แตกต่าง ผู้อ่านสามารถเลือกวิธีที่ตนเองชอบและถนัดได้ เพราะผลตอบแทนที่สูง ย่อมมีความเสี่ยงสูง
รูปเล่ม
จำนวนหน้า: 136 หน้า
ขนาดรูปเล่ม: 145 x 196 x 8 มม.
น้ำหนัก: 175 กรัม
เนื้อในพิมพ์: ขาวดำ
ชนิดกระดาษ: กระดาษปอนด์
ISBN: 9789741348411
ราคาขาย: 140 บาท
ผู้เขียน: อมิตา อริยอัชฌา
ผลงานที่ได้รับ
Best Seller ในร้านหนังสือชื่อดังหลายแห่ง (ธ.ค. 2551 - ม.ค. 2552)
คำวิจารณ์ของเจ้าของ Blog
โดยส่วนตัวผมชอบหนังสือแนวนี้นะครับ เพราะเป็นการให้แนวความคิดที่ดี ซึ่งทำให้เรามีกำลังใจ และแนวทางในการออมเงินที่ดี แต่เนื้อหาโดยทั่วไปสามารถหาอ่านได้ตามเว็บบอร์ด หรือแหล่งข้อมูลอื่นๆได้ ซึ่งถ้าเป็นนักอ่านเว็บย่อมจะต้องเคยอ่านแนวความคิดประเภทนี้มาบ้าง (ถ้าสนใจด้านการเงินเป็นทุนอยู่เดิม) แต่สำหรับบุคคลทั่วไปที่ไม่มีเวลาเข้าเว็บ หรืออาจจะหาข้อมูลบนเว็บไม่คล่องการทำเป็นหนังสืออย่างนี้ผมว่าสะดวกดีและมีประโยชน์กับคนทั่วไปเป็นจำนวนมาก ข้อที่ผมจะติหนังสือเล่มนี้ที่สำคัญคงเป็นอัตราผลตอบแทนที่ผู้เขียนใช้อ้างอิงในหนังสือ เพราะว่าอัตราที่เขียนไว้จะเป็นอัตราที่ค่อนข้างสูงเกินความเป็นจริงในประเทศไทย ณ ปัจจุบัน เช่นมีการยกตัวอย่าง อัตราผลตอบแทน 10%, 16% ซึ่งในปัจจุบัน(ม.ค. 2552) อัตราดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์อยู่ที่ 0.75% ฝากประจำอยู่ที่ 2% กองทุน ณ ตอนนี้ยิ่งแย่ใหญ่ เศรษฐกิจอเมริกาล้ม ทำให้ติดลบกันเป็นแถว ที่ดูดีหน่อยคงเป็นหุ้นกู้ที่บรรดาบริษัทยักษ์ใหญ่ในประเทศทยอยออกมาขายซึ่งจะอยู่ที่ 4-6% เท่านั้น
ผมขอใส่ตารางสูตรสักนิดเพื่อเป็นกำลังใจให้คนเก็บออม
ถ้าคุณต้องการมีเงินล้าน ขอเพียงคุณฝากเงินแค่เดือนละ 5,000 บาท คุณสามารถมีเงินล้านได้ใน 12 ปี
โดยอัตราผลตอบแทนอยู่ที่ปีละ 5%
ดังตารางข้างล่าง
ข้อความค้นหาสำคัญ Keyword
เขาเก็บเงินกันอย่างไรได้เป็นล้าน เก็บเงินได้เป็นล้าน เขาเก็บอย่างไรได้เป็นล้าน เก็บเงินอย่างไรได้เป็นล้าน เก็บเงินเป็นล้าน วิธีเก็บเงินได้เป็นล้าน จำนวนปีในการเก็บเงิน เก็บให้ได้ล้าน คนรวย เก็บเงินให้รวย คนรวยมีเงินเป็นล้าน เก็บเงินอย่างไร เก็บยังไงได้เป็นล้าน
1. เนื้อหา การดำเนินเรื่อง ความสนุกสนาน 52 คะแนน
2. รูปเล่ม ขนาด ความสะดวกในการอ่าน 9 คะแนน
3. ความสวยงามของปก การใช้ฟอนต์ สีฟอนต์ ของเนื้อหา 9 คะแนน
4. ประโยชน์ที่นักอ่านได้รับ 10 คะแนน
5. ราคาขาย เปรียบเทียบกับเนื้อกระดาษ คุณภาพของเนื้อหา 9 คะแนน
เนื้อหา
ชี้ให้ผู้อ่านได้เห็นข้อเท็จจริงที่ว่า ทุกคนสามารถมีเงินล้านได้ โดยมีการนำสถิติเงินฝากในประเทศมาแสดงให้เห็นว่าในประเทศไทยมีคนที่มีเงินฝากมากกว่า 1 ล้าน แต่ไม่เกิน 10 ล้านบาท มากถึง 8 แสนกว่าบัญชี ถ้าเทียบง่ายๆ คือเมื่อเดินผ่านคน 65 คนจะต้องมี 1 คนที่มีเงินในบัญชีมากกว่า 1 ล้านบาท
อธิบายรูปแบบวิธีการเก็บเงิน ให้ทุกคนสามารถคิดตามและปฏิบัติได้จริง โดยมีหลักการว่าคุณจะมีเงินฝากได้ต้องมีส่วนสำคัญ ได้แก่ จำนวนเงินที่ฝาก จำนวนปีที่ฝาก และอัตราดอกเบี้ยที่ได้รับจากการฝากเงิน และเขียนวิธีคำนวณเงินง่ายๆ ให้คุณสามารถคำนวณตามได้ว่าถ้าคุณต้องการมีเงินล้าน คุณจะฝากเงินเท่าไรและจะได้เงินล้านในอีกกี่ปี และได้มีการแนะนำเว็บไซท์ต่างๆ ที่ช่วยคำนวณ รวมถึงการฝากเงินประเภทต่างๆ ซึ่งให้อัตราดอกเบี้ยที่แตกต่าง ผู้อ่านสามารถเลือกวิธีที่ตนเองชอบและถนัดได้ เพราะผลตอบแทนที่สูง ย่อมมีความเสี่ยงสูง
รูปเล่ม
จำนวนหน้า: 136 หน้า
ขนาดรูปเล่ม: 145 x 196 x 8 มม.
น้ำหนัก: 175 กรัม
เนื้อในพิมพ์: ขาวดำ
ชนิดกระดาษ: กระดาษปอนด์
ISBN: 9789741348411
ราคาขาย: 140 บาท
ผู้เขียน: อมิตา อริยอัชฌา
ผลงานที่ได้รับ
Best Seller ในร้านหนังสือชื่อดังหลายแห่ง (ธ.ค. 2551 - ม.ค. 2552)
คำวิจารณ์ของเจ้าของ Blog
โดยส่วนตัวผมชอบหนังสือแนวนี้นะครับ เพราะเป็นการให้แนวความคิดที่ดี ซึ่งทำให้เรามีกำลังใจ และแนวทางในการออมเงินที่ดี แต่เนื้อหาโดยทั่วไปสามารถหาอ่านได้ตามเว็บบอร์ด หรือแหล่งข้อมูลอื่นๆได้ ซึ่งถ้าเป็นนักอ่านเว็บย่อมจะต้องเคยอ่านแนวความคิดประเภทนี้มาบ้าง (ถ้าสนใจด้านการเงินเป็นทุนอยู่เดิม) แต่สำหรับบุคคลทั่วไปที่ไม่มีเวลาเข้าเว็บ หรืออาจจะหาข้อมูลบนเว็บไม่คล่องการทำเป็นหนังสืออย่างนี้ผมว่าสะดวกดีและมีประโยชน์กับคนทั่วไปเป็นจำนวนมาก ข้อที่ผมจะติหนังสือเล่มนี้ที่สำคัญคงเป็นอัตราผลตอบแทนที่ผู้เขียนใช้อ้างอิงในหนังสือ เพราะว่าอัตราที่เขียนไว้จะเป็นอัตราที่ค่อนข้างสูงเกินความเป็นจริงในประเทศไทย ณ ปัจจุบัน เช่นมีการยกตัวอย่าง อัตราผลตอบแทน 10%, 16% ซึ่งในปัจจุบัน(ม.ค. 2552) อัตราดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์อยู่ที่ 0.75% ฝากประจำอยู่ที่ 2% กองทุน ณ ตอนนี้ยิ่งแย่ใหญ่ เศรษฐกิจอเมริกาล้ม ทำให้ติดลบกันเป็นแถว ที่ดูดีหน่อยคงเป็นหุ้นกู้ที่บรรดาบริษัทยักษ์ใหญ่ในประเทศทยอยออกมาขายซึ่งจะอยู่ที่ 4-6% เท่านั้น
ผมขอใส่ตารางสูตรสักนิดเพื่อเป็นกำลังใจให้คนเก็บออม
ถ้าคุณต้องการมีเงินล้าน ขอเพียงคุณฝากเงินแค่เดือนละ 5,000 บาท คุณสามารถมีเงินล้านได้ใน 12 ปี
โดยอัตราผลตอบแทนอยู่ที่ปีละ 5%
ดังตารางข้างล่าง
ข้อความค้นหาสำคัญ Keyword
เขาเก็บเงินกันอย่างไรได้เป็นล้าน เก็บเงินได้เป็นล้าน เขาเก็บอย่างไรได้เป็นล้าน เก็บเงินอย่างไรได้เป็นล้าน เก็บเงินเป็นล้าน วิธีเก็บเงินได้เป็นล้าน จำนวนปีในการเก็บเงิน เก็บให้ได้ล้าน คนรวย เก็บเงินให้รวย คนรวยมีเงินเป็นล้าน เก็บเงินอย่างไร เก็บยังไงได้เป็นล้าน
วันอังคารที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2552
ความสุขของกะทิ
คะแนนที่ได้รับ 84 คะแนน
1. เนื้อหา การดำเนินเรื่อง ความสนุกสนาน 50 คะแนน
2. รูปเล่ม ขนาด ความสะดวกในการอ่าน 9 คะแนน
3. ความสวยงามของปก การใช้ฟอนต์ สีฟอนต์ ของเนื้อหา 9 คะแนน
4. ประโยชน์ที่นักอ่านได้รับ 8 คะแนน
5. ราคาขาย เปรียบเทียบกับเนื้อกระดาษ คุณภาพของเนื้อหา 8 คะแนน
เรื่องย่อ “ความสุขของกะทิ” โดย ผู้เขียน
เด็กหญิงกะทิอายุ ๙ ปีอาศัยอยู่บ้านทรงไทยริมคลองที่อยุธยากับตาและยายทุกวันเธอตื่นแต่เช้า คดข้าวใส่ขันและไปใส่บาตรกับตาที่ท่าน้ำหน้าบ้าน หลวงลุงนั่งเรือมารับบาตรและมีเด็กวัดที่เป็นหลานชื่อ ทอง พายเรือมาให้ กะทิซ้อนท้ายจักรยานตาไปขึ้นรถสองแถวที่หน้าปากซอยเพื่อไปโรงเรียน เธอมีปิ่นโตใส่อาหารกลางวันที่ยายเตรียมให้ไปโรงเรียนด้วยกะทิมีความสุขดีในบ้านหลังน้อยที่ล้อมรอบด้วยไม้ไทย ในวันว่างตาชวนกะทิพายเรือไปเที่ยวเล่นในทุ่งและไปจนถึงศาลาริมน้ำใต้ต้นก้ามปู ตาเคยเป็นทนายมีชื่อเสียงในกรุงเทพฯ เมื่อเกษียณแล้วจึงย้ายกลับมาบ้านเกิด บูรณะบ้านไทยและใช้ชีวิตบั้นปลายช่วยเหลือผู้คนในท้องถิ่น ยายเคยทำงานเป็นเลขานุการนายใหญ่โรงแรมห้าดาวและเลือกที่จะใช้ชีวิตเรียบง่ายเช่นกัน กะทิมีพี่ทองเป็นเพื่อนเล่น ชีวิตดำเนินไปอย่างเรียบง่ายแม้ว่าไม่สมบูรณ์ครบถ้วนอย่างที่ควรจะเป็นกะทิจำแม่ได้เพียงลาง ๆ ตายายไม่พูดถึงแม่ ในบ้านไม่มีรูปถ่ายแม่ กะทิคิดถึงแม่ทุกวัน อยากพบหน้า อยากให้แม่มารับที่โรงเรียน กะทิอธิษฐานทุกวันให้ฝันเป็นจริง แล้ววันหนึ่งยายก็ถามกะทิว่า “กะทิ อยากไปหาแม่ไหมลูก”เพียงเท่านี้การเดินทางของกะทิก็เริ่มขึ้น ตายายบอกกะทิว่าแม่ป่วยและพักรักษาตัวอยู่ที่บ้านชายทะเล ชฏาหรือน้าฏา เลขาฯ ของแม่ ขับรถมารับ อาการของแม่หนักแล้วและตั้งใจให้กะทิมาใช้เวลาช่วงสุดท้ายด้วยกัน โรคของแม่คือเอแอลเอส กล้ามเนื้อจะอ่อนแรงลงเรื่อย ๆ จนช่วยตัวเองไม่ได้และถึงขั้นหายใจเองไม่ได้ แม่ไม่ยอมใช้เครื่องช่วยหายใจเพราะจะทำให้พูดไม่ได้ แม่เลือกที่จะทอนเวลาชีวิตลงแต่อยู่อย่างมีคุณภาพกะทิได้รู้ว่าแม่ตัดสินใจฝากกะทิไว้กับตายายเมื่อรู้ว่าไม่สามารถดูแลกะทิได้เอง เหตุการณ์ที่ทำให้แม่ตัดสินใจคือเมื่อกะทิอายุ ๒ ขวบ แม่พากะทิไปพายเรือเล่นจนถึงศาลาริมน้ำ แต่เกิดพายุและกลับบ้านไม่ทัน กะทินั่งอยู่ในเรือและเรือหลุดจากเสาที่ผูกไว้โดยที่แม่ช่วยอะไรไม่ได้เลย วันนั้นโชคดีที่ทองเด็กวัดตามมาหาเพื่อนเล่นจึงช่วยกะทิกับแม่ไว้ได้ กะทิอยู่กับตายายนับจากวันนั้นและเมื่อรู้เหตุผลจากปากของแม่ก็เข้าใจแม่จากไปอย่างสงบและฝากให้เพื่อนของแม่ชื่อ กันต์ และลูกพี่ลูกน้องชื่อ ตอง เป็นคนพากะทิกลับไปที่คอนโดกลางกรุงเพื่อพบกับส่วนหนึ่งของชีวิตแม่กะทิจึงเดินทางอีกครั้งและมาถึงคอนโดที่กะทิเคยอยู่กับแม่ก่อนจะพลัดพรากกัน ที่นี่มีห้องหนึ่งที่แม่จัดเก็บเอกสารเรื่องราวชีวิตของตัวเองไว้ ลุงตองเป็นคนพากะทิไปเปิดตู้เอกสารและทำให้กะทิพบว่าพ่อของกะทิชื่อ แอนโทนี ซัมเมอร์ ชาวพม่าที่ไปเติบโตที่อังกฤษแม่พบพ่อเมื่อไปเรียนต่อและทำงานที่นั่น ทั้งสองรักและแต่งงานกัน แต่แม่ได้งานใหญ่ที่ฮ่องกงทำให้ต้องแยกกันอยู่ ไม่นานแม่ก็รู้ว่าคนรักเก่าของพ่อตามมาพบกันและแม่ตัดสินใจให้คนทั้งสองสมหวัง แม่เลือกเดินทางกลับมาอยู่กรุงเทพฯ และพบว่าตัวเองตั้งท้องแม่เตรียมจดหมายไว้ให้กะทิส่งถึงพ่อและสั่งไว้ว่าให้กะทิตัดสินใจเองว่าจะส่งหรือไม่ บทสุดท้ายของหนังสือทำให้รู้ว่ากะทิเลือกและพอใจที่จะใช้ชีวิตเรียบง่ายกับตายายที่บ้านริมคลองสืบไป
รูปเล่ม
จำนวนหน้า: 118 หน้า
ขนาดรูปเล่ม: 129 x 185 x 8 มม.
น้ำหนัก: 100 กรัม
เนื้อในพิมพ์: ขาวดำ
ชนิดกระดาษ: กระดาษถนอมสายตา
ราคาขาย: 235 บาท
ผู้เขียน: งามพรรณ เวชชาชีวะ
ผลงานที่ได้รับ
รางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียน (ซีไรต์) ของประเทศไทย ประจำปี พ.ศ. 2549
บทแปลภาษาอังกฤษชื่อ The Happiness of Kati แปลโดยพรูเดนซ์ บอร์ทวิก (Prudence Borthwick) ได้รับรางวัลที่ 2 จากการประกวดงานแปล ประจำปี พ.ศ. 2548 John Dryden Translation Competition จัดโดยสมาคมวรรณคดีเปรียบเทียบแห่งอังกฤษ (British Comparative Literature Association)
คำวิจารณ์ของเจ้าของ Blog
เป็นงานเขียนที่มีเนื้อหาเรียบง่าย บ่งบอกรายละเอียดในชีวิตประจำวันของเด็กคนหนึ่ง ใช้ภาษาได้ดี อ่านเข้าใจง่าย มีการสอดแทรกวัฒนะธรรม ประเพณีเข้าไป ผมจึงไม่แปลกใจเลยที่ชาวต่างชาติซื้อลิขสิทธิ์ไปแปลเป็นภาษาต่างประเทศหลายภาษา เพราะสื่อได้โดนใจนี่เอง แต่เนื่องด้วยเนื้อหาเป็นลักษณะเขียนเป็นตอนๆ อ่านแล้วจะขาดความต่อเนื่องบ้าง ดังนั้นผู้อ่านที่ชอบอ่านหนังสือนิยาย อาจจะรู้สึกขัดๆ บ้าง
ประวัติผู้เขียน
งามพรรณ เวชชาชีวะ
นักเขียนซีไรต์ 2006 - ประเทศไทย
งามพรรณ เวชชาชีวะ เกิดที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษเมื่อ พ.ศ. 2506 จบการศึกษาระดับปริญญาตรีจากภาควิชาภาษาฝรั่งเศส คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง) พ.ศ. 2528 และประกาศนียบัตรการแปล (ฝรั่งเศส – อังกฤษ – อิตาเลียน) จากโรงเรียนล่ามและแปลของรัฐบาลเบลเยี่ยม ณ กรุงบรัสเซลล์ พ.ศ. 2530 เริ่มทำงานครั้งแรกในตำแหน่งเจ้าหน้าที่แปลของบริษัท มีเดียโฟกัส ก่อนจะเป็นเจ้าของและบรรณาธิการ นิตยสารเพื่อนใหม่ นิตยสารสำหรับเด็กก่อนวัยรุ่น ปัจจุบันเป็นกรรมการผู้จัดการบริษัท ซิล์คโรดพับบลิเชอร์ เอเยนซี จำกัด ดูแลลิขสิทธิ์วรรณกรรมให้กับนักเขียนและต่างประเทศ
งามพรรณมีผลงานแปลจากภาษาอังกฤษ ภาษาฝรั่งเศส และภาษาอิตาเลียนตีพิมพ์กว่า 20 เรื่อง ผลงานตีพิมพ์ล่าสุด คือ ปริศนาในสายลมร้อน จัดพิมพ์โดย แพรวสำนักพิมพ์ และ แสนสุขเสมอในโปรวองซ์ จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์มติชน นอกจากนี้ยังเป็นผู้บรรยายพิเศษด้านการแปลและลิขสิทธิ์ให้กับสถาบันศึกษาและมหาวิทยาลัยต่างๆและกรรมการตัดสินการประกวดนิทาน และเรื่องแต่งสำหรับเยาวชน เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2542 ได้รับอิสริยาภรณ์ศิลปะและอักษรศาสตร์ชั้นอัศวิน (Chevalier de l’Ordre des Arts et des Lettres) จากกระทรวงวัฒนธรรม ประเทศฝรั่งเศส ในฐานะผู้มีผลงานด้านวรรณกรรมและเผยแพร่วัฒนธรรมฝรั่งเศส
ความสุขของกะทิ เป็นผลงานประพันธ์เล่มแรก จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์แพรว ผลงานเรื่องนี้ได้รับการแปลและการตีพิมพ์ในภาษาอังกฤษ เยอรมัน และญี่ปุ่น ฉบับภาษาฝรั่งเศสและภาษาคาตาลันมีกำหนดจัดพิมพ์ภายในปีนี้
ที่มา: http://www.seawrite.com/
ข้อความค้นหาสำคัญ Keyword
ความสุขของกะทิ ความสุข ของ กะทิ งามพรรณ เวชชาชีวะ รางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียน (ซีไรต์) ของประเทศไทย ประจำปี พ.ศ. 2549 รางวัลซีไรต์ เด็กหญิงกะทิ The Happiness of Kati ความสุขของ กะทิ
1. เนื้อหา การดำเนินเรื่อง ความสนุกสนาน 50 คะแนน
2. รูปเล่ม ขนาด ความสะดวกในการอ่าน 9 คะแนน
3. ความสวยงามของปก การใช้ฟอนต์ สีฟอนต์ ของเนื้อหา 9 คะแนน
4. ประโยชน์ที่นักอ่านได้รับ 8 คะแนน
5. ราคาขาย เปรียบเทียบกับเนื้อกระดาษ คุณภาพของเนื้อหา 8 คะแนน
เรื่องย่อ “ความสุขของกะทิ” โดย ผู้เขียน
เด็กหญิงกะทิอายุ ๙ ปีอาศัยอยู่บ้านทรงไทยริมคลองที่อยุธยากับตาและยายทุกวันเธอตื่นแต่เช้า คดข้าวใส่ขันและไปใส่บาตรกับตาที่ท่าน้ำหน้าบ้าน หลวงลุงนั่งเรือมารับบาตรและมีเด็กวัดที่เป็นหลานชื่อ ทอง พายเรือมาให้ กะทิซ้อนท้ายจักรยานตาไปขึ้นรถสองแถวที่หน้าปากซอยเพื่อไปโรงเรียน เธอมีปิ่นโตใส่อาหารกลางวันที่ยายเตรียมให้ไปโรงเรียนด้วยกะทิมีความสุขดีในบ้านหลังน้อยที่ล้อมรอบด้วยไม้ไทย ในวันว่างตาชวนกะทิพายเรือไปเที่ยวเล่นในทุ่งและไปจนถึงศาลาริมน้ำใต้ต้นก้ามปู ตาเคยเป็นทนายมีชื่อเสียงในกรุงเทพฯ เมื่อเกษียณแล้วจึงย้ายกลับมาบ้านเกิด บูรณะบ้านไทยและใช้ชีวิตบั้นปลายช่วยเหลือผู้คนในท้องถิ่น ยายเคยทำงานเป็นเลขานุการนายใหญ่โรงแรมห้าดาวและเลือกที่จะใช้ชีวิตเรียบง่ายเช่นกัน กะทิมีพี่ทองเป็นเพื่อนเล่น ชีวิตดำเนินไปอย่างเรียบง่ายแม้ว่าไม่สมบูรณ์ครบถ้วนอย่างที่ควรจะเป็นกะทิจำแม่ได้เพียงลาง ๆ ตายายไม่พูดถึงแม่ ในบ้านไม่มีรูปถ่ายแม่ กะทิคิดถึงแม่ทุกวัน อยากพบหน้า อยากให้แม่มารับที่โรงเรียน กะทิอธิษฐานทุกวันให้ฝันเป็นจริง แล้ววันหนึ่งยายก็ถามกะทิว่า “กะทิ อยากไปหาแม่ไหมลูก”เพียงเท่านี้การเดินทางของกะทิก็เริ่มขึ้น ตายายบอกกะทิว่าแม่ป่วยและพักรักษาตัวอยู่ที่บ้านชายทะเล ชฏาหรือน้าฏา เลขาฯ ของแม่ ขับรถมารับ อาการของแม่หนักแล้วและตั้งใจให้กะทิมาใช้เวลาช่วงสุดท้ายด้วยกัน โรคของแม่คือเอแอลเอส กล้ามเนื้อจะอ่อนแรงลงเรื่อย ๆ จนช่วยตัวเองไม่ได้และถึงขั้นหายใจเองไม่ได้ แม่ไม่ยอมใช้เครื่องช่วยหายใจเพราะจะทำให้พูดไม่ได้ แม่เลือกที่จะทอนเวลาชีวิตลงแต่อยู่อย่างมีคุณภาพกะทิได้รู้ว่าแม่ตัดสินใจฝากกะทิไว้กับตายายเมื่อรู้ว่าไม่สามารถดูแลกะทิได้เอง เหตุการณ์ที่ทำให้แม่ตัดสินใจคือเมื่อกะทิอายุ ๒ ขวบ แม่พากะทิไปพายเรือเล่นจนถึงศาลาริมน้ำ แต่เกิดพายุและกลับบ้านไม่ทัน กะทินั่งอยู่ในเรือและเรือหลุดจากเสาที่ผูกไว้โดยที่แม่ช่วยอะไรไม่ได้เลย วันนั้นโชคดีที่ทองเด็กวัดตามมาหาเพื่อนเล่นจึงช่วยกะทิกับแม่ไว้ได้ กะทิอยู่กับตายายนับจากวันนั้นและเมื่อรู้เหตุผลจากปากของแม่ก็เข้าใจแม่จากไปอย่างสงบและฝากให้เพื่อนของแม่ชื่อ กันต์ และลูกพี่ลูกน้องชื่อ ตอง เป็นคนพากะทิกลับไปที่คอนโดกลางกรุงเพื่อพบกับส่วนหนึ่งของชีวิตแม่กะทิจึงเดินทางอีกครั้งและมาถึงคอนโดที่กะทิเคยอยู่กับแม่ก่อนจะพลัดพรากกัน ที่นี่มีห้องหนึ่งที่แม่จัดเก็บเอกสารเรื่องราวชีวิตของตัวเองไว้ ลุงตองเป็นคนพากะทิไปเปิดตู้เอกสารและทำให้กะทิพบว่าพ่อของกะทิชื่อ แอนโทนี ซัมเมอร์ ชาวพม่าที่ไปเติบโตที่อังกฤษแม่พบพ่อเมื่อไปเรียนต่อและทำงานที่นั่น ทั้งสองรักและแต่งงานกัน แต่แม่ได้งานใหญ่ที่ฮ่องกงทำให้ต้องแยกกันอยู่ ไม่นานแม่ก็รู้ว่าคนรักเก่าของพ่อตามมาพบกันและแม่ตัดสินใจให้คนทั้งสองสมหวัง แม่เลือกเดินทางกลับมาอยู่กรุงเทพฯ และพบว่าตัวเองตั้งท้องแม่เตรียมจดหมายไว้ให้กะทิส่งถึงพ่อและสั่งไว้ว่าให้กะทิตัดสินใจเองว่าจะส่งหรือไม่ บทสุดท้ายของหนังสือทำให้รู้ว่ากะทิเลือกและพอใจที่จะใช้ชีวิตเรียบง่ายกับตายายที่บ้านริมคลองสืบไป
รูปเล่ม
จำนวนหน้า: 118 หน้า
ขนาดรูปเล่ม: 129 x 185 x 8 มม.
น้ำหนัก: 100 กรัม
เนื้อในพิมพ์: ขาวดำ
ชนิดกระดาษ: กระดาษถนอมสายตา
ราคาขาย: 235 บาท
ผู้เขียน: งามพรรณ เวชชาชีวะ
ผลงานที่ได้รับ
รางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียน (ซีไรต์) ของประเทศไทย ประจำปี พ.ศ. 2549
บทแปลภาษาอังกฤษชื่อ The Happiness of Kati แปลโดยพรูเดนซ์ บอร์ทวิก (Prudence Borthwick) ได้รับรางวัลที่ 2 จากการประกวดงานแปล ประจำปี พ.ศ. 2548 John Dryden Translation Competition จัดโดยสมาคมวรรณคดีเปรียบเทียบแห่งอังกฤษ (British Comparative Literature Association)
คำวิจารณ์ของเจ้าของ Blog
เป็นงานเขียนที่มีเนื้อหาเรียบง่าย บ่งบอกรายละเอียดในชีวิตประจำวันของเด็กคนหนึ่ง ใช้ภาษาได้ดี อ่านเข้าใจง่าย มีการสอดแทรกวัฒนะธรรม ประเพณีเข้าไป ผมจึงไม่แปลกใจเลยที่ชาวต่างชาติซื้อลิขสิทธิ์ไปแปลเป็นภาษาต่างประเทศหลายภาษา เพราะสื่อได้โดนใจนี่เอง แต่เนื่องด้วยเนื้อหาเป็นลักษณะเขียนเป็นตอนๆ อ่านแล้วจะขาดความต่อเนื่องบ้าง ดังนั้นผู้อ่านที่ชอบอ่านหนังสือนิยาย อาจจะรู้สึกขัดๆ บ้าง
ประวัติผู้เขียน
งามพรรณ เวชชาชีวะ
นักเขียนซีไรต์ 2006 - ประเทศไทย
งามพรรณ เวชชาชีวะ เกิดที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษเมื่อ พ.ศ. 2506 จบการศึกษาระดับปริญญาตรีจากภาควิชาภาษาฝรั่งเศส คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง) พ.ศ. 2528 และประกาศนียบัตรการแปล (ฝรั่งเศส – อังกฤษ – อิตาเลียน) จากโรงเรียนล่ามและแปลของรัฐบาลเบลเยี่ยม ณ กรุงบรัสเซลล์ พ.ศ. 2530 เริ่มทำงานครั้งแรกในตำแหน่งเจ้าหน้าที่แปลของบริษัท มีเดียโฟกัส ก่อนจะเป็นเจ้าของและบรรณาธิการ นิตยสารเพื่อนใหม่ นิตยสารสำหรับเด็กก่อนวัยรุ่น ปัจจุบันเป็นกรรมการผู้จัดการบริษัท ซิล์คโรดพับบลิเชอร์ เอเยนซี จำกัด ดูแลลิขสิทธิ์วรรณกรรมให้กับนักเขียนและต่างประเทศ
งามพรรณมีผลงานแปลจากภาษาอังกฤษ ภาษาฝรั่งเศส และภาษาอิตาเลียนตีพิมพ์กว่า 20 เรื่อง ผลงานตีพิมพ์ล่าสุด คือ ปริศนาในสายลมร้อน จัดพิมพ์โดย แพรวสำนักพิมพ์ และ แสนสุขเสมอในโปรวองซ์ จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์มติชน นอกจากนี้ยังเป็นผู้บรรยายพิเศษด้านการแปลและลิขสิทธิ์ให้กับสถาบันศึกษาและมหาวิทยาลัยต่างๆและกรรมการตัดสินการประกวดนิทาน และเรื่องแต่งสำหรับเยาวชน เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2542 ได้รับอิสริยาภรณ์ศิลปะและอักษรศาสตร์ชั้นอัศวิน (Chevalier de l’Ordre des Arts et des Lettres) จากกระทรวงวัฒนธรรม ประเทศฝรั่งเศส ในฐานะผู้มีผลงานด้านวรรณกรรมและเผยแพร่วัฒนธรรมฝรั่งเศส
ความสุขของกะทิ เป็นผลงานประพันธ์เล่มแรก จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์แพรว ผลงานเรื่องนี้ได้รับการแปลและการตีพิมพ์ในภาษาอังกฤษ เยอรมัน และญี่ปุ่น ฉบับภาษาฝรั่งเศสและภาษาคาตาลันมีกำหนดจัดพิมพ์ภายในปีนี้
ที่มา: http://www.seawrite.com/
ข้อความค้นหาสำคัญ Keyword
ความสุขของกะทิ ความสุข ของ กะทิ งามพรรณ เวชชาชีวะ รางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียน (ซีไรต์) ของประเทศไทย ประจำปี พ.ศ. 2549 รางวัลซีไรต์ เด็กหญิงกะทิ The Happiness of Kati ความสุขของ กะทิ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)